'ปัญหาหนี้' คนไทยน่าห่วง โดยเฉพาะ Gen Z ที่ติดบ่วงหนี้ NPL จากการใช้จ่ายเกินตัว
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดข้อมูลเผยปัจจัยการเกิด 'วิกฤตหนี้ครัวเรือนไทย' ที่พุ่งสูง โดยเฉพาะ 'Gen Z' ที่น่าเป็นห่วง โดย 1 ใน 4 ติดบ่วงหนี้ NPL สูงสุดเมื่อเทียบทุก Gen จากการติด ‘กับดัก’ การใช้จ่ายเกินตัวตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ
รศ. ดร.ดำรงค์ อดุลยฤทธิกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากเครดิตบูโรและธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ณ ไตรมาสแรกปี 2568 มีหนี้ครัวเรือนรวมสูงถึงกว่า 16.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 87.4% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ไม่เกิน 80% มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง และกลายเป็น ‘กับดักหนี้ ที่ฉุดรั้งคุณภาพชีวิตของครัวเรือนและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่ปริมาณหนี้ที่เพิ่มสูง แต่คุณภาพของหนี้ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากกว่า 2 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดเป็นหนี้เพื่อการบริโภค ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ เช่น หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล
ขณะที่หนี้เพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่า เช่น บ้าน หรือธุรกิจ กลับมีสัดส่วนเพียง 4% เท่านั้น ทำให้ภาระหนี้กลายเป็นวงจรที่กัดกินกำลังซื้อและลดทอนความสามารถในการออมของครัวเรือน
สำหรับในกลุ่ม ‘คนรุ่นใหม่’ ปัญหาหนี้ยิ่งทวีความรุนแรง โดยข้อมูลจากเครดิตบูโรระบุว่า 1 ใน 2 ของคน Gen Z ที่เพิ่งเริ่มทำงานมีหนี้สินแล้ว และที่น่ากังวลคือกว่า 1 ใน 4 ของคนกลุ่มนี้เป็นหนี้เสีย (NPL) ซึ่งถือเป็นอัตราสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเจเนอเรชันอื่น ๆ
ปัจจัยสำคัญเกิดจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ได้รับอิทธิพลจาก 'สื่อสังคมออนไลน์' รวมถึง 'การเข้าถึงบัตรเครดิตและสินเชื่อที่ง่ายดาย' ส่งผลกระทบให้คนรุ่นใหม่ตกอยู่ในกับดักหนี้เร็วขึ้นและยากต่อการฟื้นตัว
ขณะเดียวกันระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสังคมไทยในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทั้งการลดลงของกำลังซื้อประชาชน ความสามารถในการออม ตลอดจนการบังคับให้ครัวเรือนจำนวนมากต้องตัดค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น การรักษาพยาบาลหรือการศึกษา เพื่อหันไปชำระหนี้แทน
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวงจรลบที่สะท้อนถึงความเปราะบางและความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจในระยะยาว
“หนี้ครัวเรือนไทยคือภัยเงียบที่กัดกร่อนชีวิตผู้คนทั้งในวัยเรียน วัยทำงาน และแม้กระทั่งวัยเกษียณ โดยพบว่าผู้สูงอายุจำนวนมากยังมีหนี้เฉลี่ยกว่า 400,000 บาท และเสี่ยงกลายเป็นหนี้เสีย ขณะที่คนรุ่นใหม่ก็ติดกับดักการใช้จ่ายเกินตัวตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงทำลายคุณภาพชีวิต แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม
จากภาพที่เกิดขึ้น ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงขับเคลื่อนการแก้ปัญหานี้ด้วย ‘ความรู้ทางการเงิน’ หรือ Financial Literacy หลักสูตรใหม่เพื่อปลูกฝังความเข้าใจด้านการเงินและการลงทุนให้แก่นักศึกษา โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2570 บัณฑิตทุกคนจะต้องผ่านการเรียนหลักสูตรนี้ก่อนออกสู่ตลาดแรงงาน
สำหรับหลักสูตรดังกล่าวจะครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนเป้าหมายทางการเงินระยะสั้น กลาง และยาว การออมอย่างมีระบบ การทำความเข้าใจภาษีและกฎหมายเกี่ยวข้องกับหนี้ ไปจนถึงการลงทุนในสินทรัพย์สมัยใหม่ เช่น เงินดิจิทัล คริปโทเคอร์เรนซี และผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ