เจรจาระหว่าง ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ อาจถึงทางตัน
ความหวังของญี่ปุ่นในการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ถูกสั่นคลอนจากการที่ประประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความไม่พอใจว่า ญี่ปุ่นเอาแต่ได้ ส่อแววการเจรจาล้มเหลวก่อนหมดเขตระงับภาษีนำเข้าสหรัฐฯ บทความนี้จึงจะพาท่านผู้อ่านแกะรอยว่าเกิดอะไรขึ้นกับการเจรจาที่ตอนแรกผู้คนคิดว่าจะราบรื่น
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ทรัมป์ ประธานาธิบดีได้โพสต์แสดงความไม่พอใจญี่ปุ่นในแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขาความว่า
“เมื่อเทียบกับสหรัฐ หลายประเทศกลายเป็นประเทศเอาแต่ได้ไปแล้ว ผมเองก็ให้ความเคารพกับญี่ปุ่น แต่พวกเขากลับไม่ยอมซื้อข้าวจากเราทั้งที่กำลังขาดแคลนอย่างหนัก เดี๋ยวเราจะส่งจดหมายให้พวกเขา“
จดหมายที่ทรัมป์ฯ หมายถึงคือการแจ้งเตือนที่เขาจะส่งให้ประเทศคู่ค้าทั้งหมดในวันที่ 9 กรกฎาคม เพื่อแจ้งอัตราค่าภาษีใหม่ หลังจากที่พักการเก็บภาษีชั่วคราว สำหรับญี่ปุ่นทรัมป์ฯ กล่าวเป็นนัยว่าเขาจะส่งจดหมายยุติการเจรจา ซึ่งจะเกิดผลเสียกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กและอลูมิเนียม
การเจรจาส่อแววล้มเหลว
ตอกย้ำข่าวลือขึ้นไปอีกเมื่อ ริโยเซ อาคาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาการค้าของญี่ปุ่น เดินทางกลับโตเกียวหลังเข้าพบกับรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค ประมาณ 1 ชั่วโมงในวันศุกร์ และพูดคุยทางโทรศัพท์อีกในวันถัดไป แต่ในวันอาทิตย์เขาได้เดินทางกลับโตเกียวโดยไม่ได้พบรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ หรือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เจมิสัน เกรียร์ ซึ่งเป็นผู้เจรจาระดับสูงอีกสองคน ส่อแววให้เห็นว่าการเจรจาอาจจะล้มเหลว
อย่างไรก็ตามอาคาซาวะกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่สนามบินฮาเนดะในโตเกียวว่า
“ญี่ปุ่นจะทำงานอย่างหนักต่อไปเพื่อที่จะบรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ทั้งกับญี่ปุ่นและสหรัฐฯ โดยจะยึดมั่นผลประโยชน์ของประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก”
เดวิด โบลิง ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าญี่ปุ่นและเอเชียของ Eurasia Group ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองให้ความเห็นว่า โอกาสในการบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีทางการค้าของญี่ปุ่น-สหรัฐ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 กรกฎาคมเริ่มริบหรี่แล้ว เพราะการเจรจาไม่มีความคืบหน้า และนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ คงไม่ต้องการให้บรรลุข้อตกลง “หากเป็นข้อตกลงที่เสียเปรียบ” เหตุเพราะมีเรื่องละเอียดอ่อนอย่างการเลือกตั้งวุฒิสภาญี่ปุ่นในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้
ประเด็นหลักข้อพิพาท
ประเด็นหลักที่ทำให้ข้อเจรจาหยุดชะงักคือฝ่ายสหรัฐฯ ต้องการให้ญี่ปุ่นลดดุลการค้า ญี่ปุ่นจึงเสนอความร่วมมือในอุตสาหกรรมต่อเรือและการบิน แต่ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้ช่วยลดดุลการค้าในระยะสั้นอย่างที่สหรัฐฯ ต้องการ การเจรจาจึงอยู่ในทางตัน เพราะไม่มีใครอยากเสียเปรียบทั้งคู่ นี่คือนโยบายเอื้อสหรัฐฯ และญี่ปุ่นคงไม่ยอมเป็นปลาเล็กให้สหรัฐฯ จับกิน ในน่านเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้
“สหรัฐฯ ขายรถยนต์ให้ญี่ปุ่นไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมรับรถยนต์ของเรา แต่เรากลับนำเข้ารถยนต์ของพวกเขาหลายล้านคัน มันฟังดูไม่ยุติธรรมเลย”
ทรัมป์ฯ กล่าวในรายการ Fox News
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยืนยันว่าการเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จะต้องได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่น ๆ แต่รัฐบาลทรัมป์ฯ ไม่เต็มใจเจรจาภาษีในระดับรายอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม ทรัมป์ยังให้สัมภาษณ์เป็นนัยว่าจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25% ญี่ปุ่นต่อไป เหตุนี้ฝ่ายญี่ปุ่นจึงพยายามเสนอข้อแลกเปลี่ยน โดยชี้ให้เห็นถึงบทบาทของญี่ปุ่นที่สนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างการผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ และเหมืองแร่ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่จีนจำกัดการส่งออกแร่ แต่จากท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วข้อเสนอของญี่ปุ่นคงจะไม่ได้ผลตามคาด เพราะยังคงกดดันซ้ำว่าให้ญี่ปุ่นเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างสินค้าประเภทการเกษตรและน้ำมันปิโตเลียม
อย่างไรก็ตามคงจับตามองสถานการณ์การเจรจาระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ว่าจะสามารถหาทางออกก่อนเส้นตายคือวันที่ 9 กรกฎาคมได้หรือไม่ ญี่ปุ่นจะใช้เหลี่ยมอะไรในการโน้มน้าว หรือญี่ปุ่นจะเป็นปลาเล็กที่ถูกสหรัฐฯ จับกินจนเศรษฐกิจปั่นป่วนเหมือนหุ้นที่ร่วงลงในวันนี้กันแน่
ที่มา : NIKKEI Asia