คณะทูต-สื่อ รับฟังสถานการณ์ชายแดน ไทยยันตอบโต้กัมพูชาตามสิทธิป้องกันตนเอง
เวลา 10.40 น. ณ มทบ.22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาล โดย ศบ.ทก. กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ ได้นำคณะเอกอัครราชทูต 3 ประเทศ (บรูไน ญี่ปุ่น เมียนมา) อุปทูต 2 ประเทศ (มาเลเซีย สปป.ลาว)
ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ 6 ประเทศ (อินโดนีเซีย สหรัฐฯ สิงคโปร์ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์) และทูตทหาร รวม 23 ประเทศ (อาทิ จีน มาเลเซีย ปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย สิงคโปร์ อินเดีย แคนาดา ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์)
พร้อมสื่อมวลชนไทยประมาณ 110 คน จาก 18 สำนักข่าว/หน่วยงาน และสื่อต่างประเทศประมาณ 39 คน จาก 23 สำนักข่าว/หน่วยงาน (อาทิ Agencia EFE, AFP, Asahi Shimbun, CNN, CCTV, CMG, NHK, Reuters, Xinhua) รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และข้อเท็จจริงเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา
นำโดย1) นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 2)พล.ต. นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 3)พล.ต. วินทัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และ 4)พ.อ. พัฒนา พันธุ์มงคล ผู้แทนกรมข่าวทหารบก และ 5) ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี
พ.อ. พัฒนา พันธุ์มงคล ผู้แทนกรมข่าวทหารบก กล่าวสรุปดังนี้
1. ลำเหตุการณ์และข้อเท็จจริง
ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุตั้งแต่ต้นปี 2568 ผ่านกิจกรรมทั้งทางทหารและพลเรือน ได้แก่ การพานักท่องเที่ยวร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม (13 ก.พ.), การเผาศาลาตรีมุข (28 ก.พ.), การดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดนเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร (มี.ค.–เม.ย.), การเสริมกำลังและยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดน (เม.ย.–พ.ค.) รวมถึงการลักลอบขุดคูติดต่อในเขตไทย และการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ทำให้ทหารไทยขาขาด 2 นาย และบาดเจ็บอีกหลายราย ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ ยังมีการส่งมวลชนและทหารในเครื่องแบบ-นอกเครื่องแบบมาจัดกิจกรรมยั่วยุในพื้นที่ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือน ทำให้เกิดการปะทะกับคนไทยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายไทยจึงใช้มาตรการควบคุมชายแดน โดยการล้อมรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการบุกรุก แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงยกระดับการโจมตี โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 ทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทยก่อนบริเวณปราสาทตาเมือนธม ก่อนจะขยายเป็นการใช้ปืนใหญ่และจรวด BM-21 โจมตีเป้าหมายพลเรือนลึกเข้าไปในประเทศไทย เช่น รพ.พนมดงรัก, ปั๊มน้ำมันบ้านผือ, ร้านสะดวกซื้อ, โรงเรียน และบ้านเรือนในสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มีผู้บาดเจ็บ 15 ราย เสียชีวิต 36 ราย (รวมเด็ก 1 คน)
และต้องอพยพมากกว่า 150,000 คน ฝ่ายไทยจึงตอบโต้ภายใต้หลักการป้องกันตนเอง (ตามArticle 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ) อย่างจำเป็นและได้สัดส่วน โดยมีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายิงจากเขตพลเรือนและใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์
2. สถานการณ์ปัจจุบัน
หลังการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 68 ฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงต่อเนื่อง โดยในช่วงหลังเที่ยงคืนได้บุกรุกพื้นที่ 6 จุด ได้แก่ Chong Bok (อุบลราชธานี), Sam Tae, Pha Mor E Daeng, Phu Ma Khua/Khanmar, Phlan Yao (ศรีสะเกษ), และปราสาทตาควาย (สุรินทร์) โดยการละเมิดยังดำเนินต่อถึงวันที่ 30 ก.ค. เวลา 05.10 น. ตามภาพหลักฐาน
ล่าสุด วันที่ 31 ก.ค. 68 พบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังตามแนวชายแดน และใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ล้ำเข้ามาในเขตไทยเพื่อสอดแนม ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่บ่งชี้ถึงความไม่จริงใจในการเคารพข้อตกลงหยุดยิง
3. การตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา
ซึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนหลายประเด็น ได้แก่
(1) กล่าวหาว่าไทยรุกรานและละเมิดอธิปไตย ซึ่งไทยยืนยันว่าปฏิบัติตาม Article 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด และมีสิทธิตอบโต้ด้วยความจำเป็นและได้สัดส่วน
(2) กล่าวหาไทยใช้ระเบิดเคมี ซึ่งเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง ไทยไม่มีการใช้หรือครอบครองอาวุธเคมี การอ้างภาพระเบิดเคมี เป็นภาพจากเหตุการณ์ดับไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ปี 2022
(3) กล่าวหาว่าไทยใช้ F-16 และอาวุธหนักเพื่อโจมตี ซึ่งไม่เป็นความจริง อาวุธทุกชนิดที่ใช้เพื่อการป้องกันตนเองและใช้เฉพาะเป้าหมายทางทหาร
(4) กล่าวหาไทยทิ้งระเบิด MK-84 ใส่บ้านเรือนประชาชน โดย CMAC ของกัมพูชานำเสนอภาพเก่าและอ้างว่าเป็นของไทย ทั้งที่เป็นวัตถุระเบิดเก่าสมัยสงครามเวียดนาม ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างสิ้นเชิง และขอให้กัมพูชาหยุดเผยแพร่ข้อมูลเท็จ พร้อมเชิญชวนให้ร่วมมือกับไทยและประชาคมโลกเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ด้วยสันติวิธี
(5) ไทยขอยืนยันว่าเหตุปะทะครั้งนี้เกิดจากการโจมตีก่อนของฝ่ายกัมพูชา โดยใช้อาวุธระยะไกลโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทั้งที่มีการเจรจาหยุดยิงแล้ว ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงและปล่อยข้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ ไทยขอให้ประชาคมระหว่างประเทศติดตามสถานการณ์อย่างเข้าใจ และร่วมผลักดันให้เกิดการเจรจาแบบทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาภายใต้หลักสันติวิธี
ขณะที่ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวยืนยัน การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการที่เปิดกว้าง โดย กคณะทูตประเทศอาเซียน 8 ประเทศ และประเทศที่เป็นพยานการเจรจาหยุดยิง ทูตทหารรวมถึงสื่อไทยเทศ และสื่อต่างประเทศ เพื่อเน้นย้ำถึงความความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ใช่การนำเสนอข้อมูลที่ถูกควบคุมและชี้นำ ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับเสรีภาพของสื่อมวลชน
วัตถุประสงค์ คือ เพื่อสื่อสารให้ประชาคมโลกได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงในพื้นที่ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจาบนหลักการและความถูกต้องและจริงใจ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีภายใต้กรอบทวิภาคีได้ในที่สุด รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงจุดยืนและการดำเนินการของไทยว่ายืนอยู่บนหลักการกฏหมายระหว่างประเทศ ที่จะให้การเจรจาทวิภาคีอย่างสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา ได้ใช้ความอดกลั้นมาโดยตลอด และการป้องกันตนเองตามแนวทางกฏบัตรสหประชาชาติ และกฏหมายระหว่างประเทศ
นายรัศน์ยังย้ำว่า ท่ามกลางการนำเสนอข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างสองฝ่าย สิ่งหนึ่งที่มีหลักฐานชัดเจน คือ กัมพูชาได้โจมตีโรงพยาบาล โรงเรียน บ้านเรือน ร้านค้า ปั๊มน้ำมันในพื้นที่ชุมชนอย่างหนัก ทำให้สตรี เด็กและประชาชนที่ไม่มีอาวุธต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ทหารไทยจำเป็นต้องโต้ตอบเพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตของประชาชนไทย
จากนั้น ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้รายงานถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ว่า ขณะนี้มีการอพยพพี่น้องประชาชนมากกว่า 20,000 คน ไปยังศูนย์พักพิงและศูนย์อพยพในพื้นที่กว่า 68 แห่ง ซึ่งอยู่ห่างจากแนวพรมแดนประมาณ 70 กิโลเมตร โดยการอพยพดังกล่าวได้สร้างความยากลำบากในการดำเนินชีวิตของประชาชน ทั้งยังมีการปิดโรงพยาบาล 3 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีก 20 แห่ง โดยชาวจังหวัดอุบลราชธานีได้รับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน มีพลเรือนเสียชีวิต 1 ราย และมีความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พักหนี้ 3 เดือน! ออมสิน ออกมาตรการช่วยผู้ประสบภัยชายแดน-น้ำท่วม
- รัฐบาล ยันยังไม่มีฝ่ายใดยึด "ปราสาทตาควาย" ควบคุมพื้นที่คนละด้านห่างกัน 50 เมตร
- ทบ.ยอมรับยึดปราสาทตาควายไม่ได้ แต่ควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ได้มากกว่าเดิม
- เนิน 350 ปราสาทตาควาย จุดยุทธศาสตร์ชายแดนไทย–กัมพูชา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พักหนี้ 3 เดือน! ออมสิน ออกมาตรการช่วยผู้ประสบภัยชายแดน-น้ำท่วม
- ย้ำ หมอไทยไม่เลือกปฏิบัติ รักษาผู้ป่วยทุกสัญชาติ
- ไทยย้ำจุดยืน “หมอไม่เลือกปฏิบัติ” รักษาทุกชีวิตเท่าเทียมทุกสัญชาติ
- ทบ.นำทูตทหาร - สื่อต่างประเทศ ลงพื้นที่ศรีสะเกษดูจุดเกิดเหตุถูกยิงถล่ม
- อีกคัน! ชมพู่ อารยา อัดเต็มรถ สิ่งของจำเป็นส่งช่วยแนวหน้า ไทยกัมพูชา