"ศบ.ทก." เผยประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมแจ้ง "ปธ.ออตตาวา" กัมพูชาละเมิดกม. “บัวแก้ว” เตรียมแสดงจุดยืนไทยต่อประชาคมโลก
วันที่ 21 ก.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ถึงการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิดจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 ก.ค. เป็นผลมาจากที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารีได้ปฏิบัติการลาดตระเวนเพื่อคุ้มครองการเสริมสร้างเส้นทางทางยุทธวิธีจากฐานมรกตไปยังเนิน 481 ซึ่งถือเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย ทำให้พลทหารเหยียบกับระเบิด ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ยืนยันว่า ทางการไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการจัดหน่วยผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิดเข้าไปพิสูจน์ทราบ โดยในวันที่ 18 ก.ค.หน่วยดังกล่าวได้สำรวจและพิสูจน์ทราบว่า ในพื้นที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากเส้นปฏิบัติการ 130 เมตร โดยจุดวางทุ่นระเบิดอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนของฝ่ายไทยที่เป็นการปฏิบัติตามปกติ ซึ่งการลาดตระเวนทางฝ่ายไทยมีการดำเนินการตามปกติ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถือเป็นเหตุสุดวิสัย
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า หน่วยพิสูจน์ทราบได้พิสูจน์ทราบว่า หลุมระเบิดที่เกิดเหตุนั้นมีความกว้าง 69 ซม.ลึก 23 ซม. หน่วยชุดพิสูจน์ทราบได้พบเศษวัตถุระเบิดชนิด PMN 2 และพบทุ่นระเบิดเพิ่มอีก 2 จุด จากการพิสูจน์ทราบ โดยจุดแรกอยู่ห่างจากต้นพญาสัตบรรณราว 50 เมตร ใกล้คูเลตที่ทางทหารกัมพูชาเคยขุดไว้ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างกัน ตรวจพบอีก 3 ทุ่น ส่วนจุดที่ 2 พบเพิ่มอีก 5 ทุ่น ห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร รวมทั้งหมดในการพิสูจน์ทราบ เจอทั้งหมด 7 ทุ่น ซึ่งจากการตรวจพบทุ่นระเบิดยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นระเบิดใช่ใหม่ PMN 2 มีสภาพใหม่พร้อมทำงาน ปรากฏตัวอักษรชัดเจนบริเวณด้านข้างทุ่นระเบิด ซึ่งทุ่นระเบิดชนิดนี้ประเทศไทยและกองทัพไทยไม่มีอยู่สารบบยุทโธปกรณ์ ขณะเดียวกัน หลักฐานที่ชัดเจน ยังไม่มีวัชพืชหรือรากไม้ขึ้นปกคลุม และพบร่องรอยของการขุดเพื่อวางทุ่นระเบิด
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ในปี 65 กองทัพได้ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่บริเวณช่องบก โดยตรวจไม่พบทุ่นระเบิด PMN 2 แต่อย่างใด ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่า ระเบิดชนิดนี้เป็นระเบิดใหม่ และประเมินได้ว่า PMN 2 ที่ตรวจพบเป็นการวางหลังจากเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ที่ผ่านมา และวันที่ 20 ก.ค.68 ตรวจพบทุ่นระเบิดอีก 2 จุด โดยเป็นระเบิดชนิด PMN 2 เช่นเดียวกัน ห่างจากหลุมระเบิดที่เกิดเหตุ ประมาณ 20-30 เซนติเมตร ชี้ชัดว่า มีการวางใหม่เพิ่มเติมอีก โดยเป้าหมายเพื่อสังหารบุคคลและเป็นการละเมิดอนุสัญญาออสตาวาอย่างชัดเจน เป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทย
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าว กองทัพได้ยกระดับมาตรการการปฏิบัติที่เข้มข้นขึ้น โดยหน่วยในพื้นที่ได้รับคำสั่งให้เพิ่มความระมัดระวังในการลาดตระเวน และมีการเตรียมความพร้อมสูงขึ้นตามหลักการปฏิบัติของกฎการใช้กำลังของกองทัพ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ โดยกองทัพไทยได้ออกหนังสือประณามการกระทำดังกล่าวอย่างชัดเจน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา และจะยังคงติดตามและมีมาตรการเพิ่มเติม นอกจากนี้กองทัพยังมีวาระที่จะเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร รวมถึงผู้แทนกองทัพจากประเทศต่างๆ มารับฟังคำชี้แจงเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงในเร็วๆ นี้
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ส่วนกรณีประสาทตาเมือนธม ทางฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ร่วมหารือเพื่อหามาตรการในการบริหารจัดการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างนักท่องเที่ยวทั้งสองฝ่าย โดยมีการกำหนดมาตรการ หากมีปัญหาจากนักท่องเที่ยวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาติใด ให้เจ้าหน้าที่ชุดประสานงานของชาตินั้นเป็นผู้จัดการ โดยจะเชิญตัวนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่
ส่วนกรณีที่มีปัญหาในพื้นที่ ให้ชุดประสานงานในพื้นที่ซึ่งแต่ละฝ่ายจัดกำลัง 7 นาย เป็นผู้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหา ไม่มีการเรียกชุดกำลังเสริม หรือชุดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า ซึ่งเป็นการลดการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงขอให้ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการคัดกรองนักท่องเที่ยวของแต่ละฝ่ายก่อนที่จะขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ขอยืนยันว่า มาตรการทั้ง 3 มาตรการมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในการดำเนินการ พร้อมกำหนดมาตรการเพิ่มเติม จัดชุดอาสาสมัครและทหารพรานหญิงมาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ทาง ศบ.ทก.ยืนยันที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งในเรื่องของการหาข้อเท็จจริงต่างๆ อาจจะต้องใช้เวลาตรวจสอบ ต้องขอขอบคุณประชาชนที่มีความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจาก ศบ.ทก. โดยท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของเราคือ สันติภาพของภูมิภาค ทั้งไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน เราไม่สามารถแยกออกจากกันได้ อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเจรจาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งเราพยายามกดดันไปทางกัมพูชามาสู่การเจรจาแบบทวิภาคีร่วมกันให้ได้เร็วที่สุด
สิ่งสำคัญทางศบ.ทก. ตระหนักดีว่า ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง เราจะต้องแยกออกจากปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับประชาชน ทั้งตามแนวชายแดนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย เราเล็งเห็นว่า เขาได้รับผลกระทบ ฉะนั้น มาตรการต่างๆ ที่ ศบ.ทก.ออกมาต้องไตร่ตรองอย่างละเอียด เพราะฉะนั้น จะมีผลกระทบกับประชาชนอย่างรุนแรง ตนขอวิงวอนและฝากไปยังประชาชนให้ดำรงด้วยความอดทนอดกลั้น เรากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างโดยเร็ว
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กรณีกำลังพลของกองทัพบก 3 นาย ที่ลาดตระเวนปกติในดินแดนของไทยบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี และประสบเหตุเหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ส่งผลให้มีทหาร 1 นายได้รับบาดเจ็บรุนแรงนั้น โดยที่ประชุม ศบ.ทก.ได้หารือและได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่า ทุ่นระเบิดสังหารที่ตรวจพบไม่มีการใช้และไม่ได้อยู่ในคลังอาวุธของไทย เป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่
เมื่อประกอบกับประมวลข้อมูลและจากหลักฐานอื่นๆ จากฝ่ายความมั่นคง ก็นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชาซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 20 ก.ค. และขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ
นางมาระตี กล่าวว่า อีกทั้งเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อพันธะกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อนุสัญญาออสตาวาอย่างชัดเจน ได้แก่ 1.การมีอยู่ซึ่งทุ่นระเบิดนั้น 2.การวาง ซึ่งเป็นการนำไปใช้ในทางที่ผิด ดังนั้น เพื่อรักษาท่าทีและผลประโยชน์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการ ดังต่อไปนี้ คือ 1.กระทรวงการต่างประเทศจะประท้วงอย่างเป็นทางการกรณีที่เกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากเป็นการละเมิดอธิปไตย หลักกฎหมายระหว่างประเทศและมนุษยธรรม และพันธะกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และยังส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพพลภาพ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการตามกระบวนการของอนุสัญญาออสตาวา ตามพันธะกรณีของไทย ที่เป็นรัฐภาคีที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ที่จะต้องแจ้งการละเมิดอนุสัญญาต่อประธานการประชุมรัฐภาคี ซึ่งปัจจุบันประธานที่อยู่ในวาระคือ ญี่ปุ่น เพื่อนำไปสู่การรับผิดชอบโดยกัมพูชา
นางมาระตี กล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ให้มิตรประเทศและองค์การต่างๆ รับทราบ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อภารกิจด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา เช่นญี่ปุ่น นอร์เวย์ รวมถึงองค์การต่างๆ ที่มีบทบาทในเวทีอนุสัญญาออสตาวา และจะมีการจัดการบรรยายสรุปชี้แจงให้คณะทูตประจำประเทศไทยได้รับทราบ และในช่วงสัปดาห์นี้ รมว.การต่างประเทศ ที่อยู่ระหว่างการเดินทางเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
โดยจะได้พบหารือกับผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่างๆ จะใช้โอกาสนี้ยืนยันจุดยืนของไทยต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะหลักการของไทยที่มุ่งเน้นการแก้ไขแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี การเจรจาภายใต้กรอบทวิภาคี ดังที่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศที่ระบุไว้แล้ว ไทยขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ตามแนวชายแดน ตามที่นายกฯของทั้งสองประเทศได้ตกลงกันไว้แล้วภายในกรอบทวิภาคี ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของพื้นที่ และของประชาชนทั้งสองฝ่าย
นางมาระตี กล่าวว่า แม้ขณะนี้เราดำเนินการเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด ซึ่งจะมีมิติด้านความสัมพันธ์ทวิภาคีและการดำเนินการตามกลไก พันธะสัญญาระหว่างประเทศไทย แต่ขอเน้นย้ำว่า ไทยยังยืนยันจุดยืนที่จะเจรจาทวิภาคีกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ในเวลานี้ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยเฉพาะเจบีซี อาร์บีซี และจีบีซี ทั้งนี้ ฝ่ายไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ฝ่ายกัมพูชาจะให้ความร่วมมือในกรอบเหล่านี้อย่างจริงจังและสุจริตใจ โดยเริ่มจากการเข้าร่วมการประชุมเจบีซีครั้งต่อไปที่มีกำหนดจัดช่วงเดือน ก.ย.นี้ เราเชื่อมั่นว่า จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความตึงเครียด อีกทั้งไทยพร้อมที่จะใช้กรอบทวิภาคีอื่นๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงของทั้งสองประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนของทั้งสองประเทศ
นางมาระตี กล่าวว่า ในช่วงที่สถานการณ์มีความละเอียดอ่อน การสื่อสารในสังคมโดยเฉพาะในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยบุคคลระดับสูงของฝ่ายกัมพูชาที่บางครั้งอาจย้อนแย้งกันเอง และย้อนแย้งทั้งคำพูดและการกระทำ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด สร้างความแตกแยกได้โดยไม่ตั้งใจ จึงขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลก่อนนำขึ้นพื้นที่สาธารณะ ขอย้ำว่าการแถลงข้อมูลและการชี้แจงการดำเนินการฝ่ายไทย เราเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางทางการที่มีความรอบคอบและมีความถูกต้องของข้อมูลบนพื้นฐานของกฎหมาย เราไม่ได้ดำเนินการเพียงเพื่อให้เกิดความรวดเร็วแต่ไม่ได้สนใจความจริงหรือข้อเท็จจริง หรือเพียงเพื่อให้ได้รับความนิยมตามกระแสสังคมโดยปราศจากความถูกต้องตามหลักการ จึงขอให้สื่อมวลชนและประชาชนตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับอย่างรอบคอบ และเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงานทั้งรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงที่กำลังทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่มีวันหยุด เพื่อให้เกิดความสามัคคีระหว่างคนของเรากันเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้ รวมถึงการติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางทางการและแหล่งที่เชื่อถือได้