อุตสาหกรรมไทย 6.5 ล้านล้านบาท เตรียมรับมือ ‘CBAM’ และ พ.ร.บ.โลกร้อน

อัพเดต 13 สิงหาคม 2568 เวลา 19.11 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อุตสาหกรรมส่งออก 6 กลุ่มและภาคธุรกิจในประเทศกว่า 6.5 ล้านล้านบาท จ่อเจอต้นทุนที่สูงขึ้นจากการบังคับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป และ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะประกาศใช้ในปี 2569

นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (GCC) เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมของไทยกำลังจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและความท้าทายด้านการแข่งขันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ทั้งในระดับสากลและในประเทศ

ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 สหภาพยุโรปได้เริ่มบังคับใช้มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) กับสินค้า 6 กลุ่มที่ส่งออกจากไทย ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า, อะลูมิเนียม, ซีเมนต์, ปุ๋ย, ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต

นายตรีเทพกล่าวว่า มาตรการ CBAM จะเข้าสู่การบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569 ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกต้องรับภาระต้นทุนเพิ่มเติมจากการซื้อ “ใบรับรอง CBAM” ให้แก่ผู้นำเข้าตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ผลิตสินค้า

พร้อมกันนี้ ในปี 2569 ประเทศไทยจะเริ่มประกาศใช้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 6.5 ล้านล้านบาท หรือ 37% ของ GDP โดยกฎหมายนี้จะกำหนดให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและอาจต้องเสีย ภาษีคาร์บอน

อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการจำนวนมากยังไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบและไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการบันทึกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะทำให้ต้องรับภาระภาษีคาร์บอนในอัตราที่สูงในที่สุด

ทั้งนี้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทยอยบังคับใช้ใน 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 (ปี 2569): ภาคขนส่ง, พลังงาน, สาธารณูปโภค, โลหะและอโลหะ รวมมูลค่า 1.71 ล้านล้านบาท
ระยะที่ 2: อุตสาหกรรมปิโตรเลียม, ยาง, พลาสติก, เคมีภัณฑ์, เหมืองถ่านหิน, กระดาษและเยื่อกระดาษ รวมมูลค่า 1.77 ล้านล้านบาท
ระยะที่ 3: ภาคเกษตรและปศุสัตว์, อาหารและเครื่องดื่ม, คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์, อุปกรณ์ไฟฟ้า รวมมูลค่า 3.02 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่เป็นซัพพลายเออร์ก็อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมเช่นกัน เนื่องจากกระบวนการบันทึกการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

นายตรีเทพจึงเน้นย้ำให้องค์กรต่าง ๆ เร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับกฎหมายใหม่เหล่านี้ โดย GCC มีความพร้อมที่จะให้บริการด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจกแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การฝึกอบรม ไปจนถึงการทวนสอบและการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อช่วยให้องค์กรลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน