'สงครามราคาจีน' กดกำไร BYD ดิ่งฮวบ 30% ลดลงครั้งแรกรอบ 3 ปีครึ่ง
"บีวายดี" (BYD) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในโลกจากจีน รายงานผลประกอบการไตรมาสสองมีรายได้เพิ่มขึ้น 14% เป็น 2 แสนล้านหยวน แต่กำไรสุทธิลดลง 29.9% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 6.4 พันล้านหยวน (ราว 2.9 หมื่นล้านบาท) และยังเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี เนื่องจากการขยายตัวของบริษัทเผชิญอุปสรรคท่ามกลางการรณรงค์ของรัฐบาลปักกิ่งที่ต่อต้านการทำ "สงครามราคา"
ก่อนหน้านี้ในช่วงไตรมาสแรก 2568 บริษัทเคยรายงานกำไรเพิ่มขึ้นถึง 100.4% เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
หากเทียบเป็นรอบครึ่งปีแรกของปี 2568 BYD มีรายได้เพิ่มขึ้น 23.3% และมีกำไรเพิ่มขึ้น 13.8% ส่วนยอดขายรถทั้งหมดซึ่งตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ 5.5 ล้านคันตลอดทั้งปีนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีสามารถจำหน่ายได้ 2.49 ล้านคัน หรือคิดเป็น 45% ของยอดขายที่ตั้งเป้าเอาไว้
"แนวโน้มของ BYD ที่จะบรรลุเป้าหมายทั้งปีที่ทะเยอทะยานดูเหมือนจะท้าทายมากขึ้น" โรซาลี เฉิน นักวิเคราะห์จากบริษัท Third Bridge กล่าว ขณะที่นักวิเคราะห์ของโนมูระระบุเมื่อวันที่ 12 ส.ค. คาดว่าบริษัทจะขายรถยนต์ได้ประมาณ 5-5.2 ล้านคันในปีนี้
ทั้งนี้ BYD ซึ่งสร้างยอดขายเกือบ 80% ในประเทศจีน มียอดขายรถยนต์ในตลาดบ้านเกิดเดือนก.ค. "ลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน" ในขณะที่ยอดการผลิตในเดือนเดียวกันยังลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 17 เดือนด้วย
ก่อนหน้านี้รอยเตอร์เคยรายงานเมื่อเดือนมิ.ย.ว่า BYD ได้ชะลอการผลิตและเลื่อนการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานต่างๆ ในประเทศจีนออกไป โดย BYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ได้ให้คำมั่นในเดือนนั้นว่าจะชำระเงินให้แก่ซัพพลายเออร์ภายใน 60 วัน หลังจากที่รัฐบาลปักกิ่งสั่งให้บรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชำระเงินให้เร็วขึ้นและยุติสงครามราคาที่กำลังห้ำหั่นกัน
การดำเนินการดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์ต้องพิจารณาเรื่อง "เงินทุนหมุนเวียน" ของ BYD และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
จากตัวเลขของบริษัทพบว่า การขาดดุลเงินทุนหมุนเวียนของ BYD เพิ่มขึ้นเป็น 1.227 แสนล้านหยวน ณ วันที่ 30 มิ.ย. เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขาดดุลอยู่ 9.58 หมื่นล้านหยวน ณ สิ้นเดือนมี.ค. และอยู่ที่ 1.254 แสนล้านหยวน ณ สิ้นปี 2567 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 71.1% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. จาก 70.7% ณ สิ้นไตรมาสแรก