“สนธิสัญญาพลาสติกโลก” ติดหล่ม ศึก “ลดการผลิต” ปะทะ “รีไซเคิล” ยืดเยื้อนาน 3 ปี
หลังการเจรจายาวนานเกือบ 3 ปี “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” ยังไร้ข้อสรุป เมื่อกลุ่มประเทศที่ผลักดันให้ลดการผลิตพลาสติกปะทะกับชาติน้ำมันที่ยืนยันให้เน้นการรีไซเคิล สะท้อนรอยร้าวระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับความพยายามปกป้องสิ่งแวดล้อม
วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 13.52 น. สำนักข่าว BBC รายงานว่า ความหวังที่จะได้เห็นสนธิสัญญาระดับโลกเพื่อยุติมลพิษจากพลาสติกต้องชะงักอีกครั้ง หลังการเจรจารอบที่ 6 ภายใต้สหประชาชาติ ล้มเหลวแม้จะต่อเวลาจากกำหนดเดิม ทั้งที่การพูดคุยยืดเยื้อมานานเกือบ 3 ปีแล้ว
เดิมทีการเจรจามีกำหนดสิ้นสุดเมื่อวันพฤหัสบดี แต่ประเทศต่าง ๆ ยังคงถกเถียงกันต่อเนื่องจนถึงกลางคืน เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งที่เรื้อรัง ระหว่างกลุ่มกว่า 100 ชาติที่ต้องการจำกัดการผลิตพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง กับประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่เน้นการแก้ปัญหาด้วยการรีไซเคิล
คณะผู้แทนคิวบา กล่าวอย่างผิดหวังในช่วงเช้ามืดว่า“เราพลาดโอกาสสำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่ก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป”
โดยการเจรจาเริ่มขึ้นในปี 2565 เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดถึงความเสี่ยงของพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม แม้พลาสติกจะมีบทบาทสำคัญต่อแทบทุกภาคส่วน แต่ก็แฝงไปด้วยสารเคมีอันตรายที่อาจรั่วไหลออกมาขณะพลาสติกเสื่อมสภาพ กลายเป็นไมโครพลาสติกที่พบได้ในดิน แหล่งน้ำ อากาศ และแม้กระทั่งในอวัยวะของมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า แม้จะพัฒนาการรีไซเคิลให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้ทั้งหมด อัตราการรีไซเคิลโลกปัจจุบันอยู่เพียง 10% และถึงแม้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ก็ยังเหลือปริมาณขยะพลาสติกมหาศาลที่ก่อมลพิษ
ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เช่น ซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย มองว่าพลาสติกเป็นอนาคตของเศรษฐกิจในยุคที่น้ำมันเชื้อเพลิงถูกแทนที่ด้วยพลังงานสะอาด จึงเสนอให้เน้นสร้างระบบเก็บขยะและโครงสร้างรีไซเคิลที่ดีกว่า
รอส ไอเซนเบิร์ก ประธานสมาคมผู้ผลิตพลาสติกสหรัฐ กล่าวว่า “พลาสติกคือรากฐานของชีวิตสมัยใหม่ สิ่งที่ควรทำคือยุติมลพิษ ไม่ใช่ยุติการผลิต” พร้อมเตือนว่าการแทนที่พลาสติกด้วยวัสดุอื่นอาจก่อผลกระทบไม่คาดคิด
ตรงข้ามกับกลุ่มนี้กลุ่มประเทศกว่า 100 ชาติ รวมถึงสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป เสนอให้สนธิสัญญาจำกัดการผลิตพลาสติก และกำหนดมาตรฐานการออกแบบให้รีไซเคิลง่าย เช่น ขวดน้ำต้องมีสีเดียว เพื่อคงมูลค่าในตลาดรีไซเคิล
ข้อเสนอนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทบรรจุภัณฑ์ใหญ่ เช่น เนสท์เล่และยูนิลีเวอร์ ที่เห็นด้วยกับการเก็บค่าธรรมเนียมจากสินค้าพลาสติก (Extended Producer Responsibility) เพื่อใช้ในโครงการรีไซเคิล ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มรายได้ทั่วโลกได้ถึง 5.76 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573
หลุยส์ วายาส ประธานการประชุมจากเอกวาดอร์ เสนอร่างข้อความใหม่ที่สอดคล้องกับแนวทางของสหราชอาณาจักร แต่ไม่มีข้อกำหนดเพดานการผลิตพลาสติกตามที่ฝ่ายนั้นต้องการ เนื้อหามุ่งให้แต่ละประเทศแก้ปัญหาในประเด็นอื่น เช่น สารเคมีอันตราย และการออกแบบเพื่อการรีไซเคิล
ฝ่ายสหภาพยุโรปมองว่าผลลัพธ์ครั้งนี้เป็นฐานที่ดีสำหรับการเจรจาในอนาคต แต่ฝั่งประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เช่น ซาอุดีอาระเบียและคูเวต ยังคงไม่พอใจ โดยให้เหตุผลว่ามุมมองของตนไม่ถูกรวมไว้ในร่างสุดท้าย
ด้านองค์กรสิ่งแวดล้อมหลายแห่งโจมตีว่าการล้มเหลวครั้งนี้สะท้อนการให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าสุขภาพของโลก แกรม ฟอร์บส์ หัวหน้าผู้แทนกรีนพีซ กล่าวว่า“นี่ควรเป็นสัญญาณเตือนว่า การยุติมลพิษจากพลาสติกต้องกล้าเผชิญหน้ากับผลประโยชน์ของเชื้อเพลิงฟอสซิล” พร้อมชี้ว่ามีเพียงไม่กี่ฝ่ายที่ใช้กระบวนการเจรจาดึงข้อสรุปให้ล้มเหลว
แม้การประชุมครั้งนี้จะจบลงโดยไร้ข้อตกลง แต่ประธานการประชุมยืนยันว่าจะเปิดเวทีเจรจาต่อไปในอนาคต ขณะที่โลกยังคงจับตาว่าสนธิสัญญาฉบับนี้จะสามารถก้าวข้ามทางตัน และสร้างกรอบแก้ปัญหาพลาสติกที่ทั้งโลกยอมรับได้หรือไม่
อ้างอิง : www.bbc.com