(ชมคลิป) สวทช. เผย 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568 : “หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์” จะมีบทบาทช่วยงานมนุษย์มากขึ้น
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568” (10 Technologies to Watch 2025) ภายในงาน “Thailand Tech Show 2025” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโดย สวทช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “อว. Fair 2025” ธีม Creators of Tomorrow จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 17 สิงหาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ผู้อำนวยการ สวทช.กล่าวว่า สวทช. จัดทำ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองเป็นประจำทุกปีนานกว่า 15 ปีสำหรับปีนี้ เทคโนโลยีที่คัดเลือกมาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือเทคโนโลยีด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีหุ่นยนต์, AI และการเข้ารหัส และสุดท้ายคือเทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพและการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทั้งนี้เริ่มจากเทคโนโลยีแรก ได้แก่
1. ไฮโดรเจนสีฟ้าเทอร์คอยส์ (Turquoise Hydrogen)หนึ่งในกระบวนการผลิตไฮโดรเจนที่น่าจับตามองและเหมาะกับประเทศไทยซึ่งผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูง เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซธรรมชาติผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมอย่างระบบท่อก๊าซได้
2. เหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel)คือ เหล็กที่ผลิตโดยใช้กระบวนการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได- ออกไซด์ เปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิม คือ BF-BOF ที่ใช้เตาหลอมแบบ Blast Furnace (BF) และ Basic Oxygen Furnace (BOF) มาสู่กระบวนการแบบใหม่ คือ “DRI-EAF (Direct Reduce Iron–Electric Arc Furnace)” นำพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวมาใช้ในการผลิตเหล็กพรุน ก่อนนำมาหลอมรวมกับเศษเหล็กในเตาหลอมไฟฟ้าระบบอาร์ก (Electric Arc Furnace: EAF) ที่ใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิตจนได้เหล็กกล้าปลอดฟอสซิล
3. เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน (Low Fumarate, High Ethanol or LFHE Eco-friendly Rice)“การปลูกข้าว” เป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในภาคการเกษตร ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งเสริม “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดทำได้เฉพาะนาชลประทาน การพัฒนา “พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน” จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง เพราะใช้ได้ทั้งนาน้ำฝนและนาชลประทาน พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนมีคุณสมบัติสำคัญคือ รากผลิตเอทานอลปริมาณมาก และผลิตฟูมาเรตน้อยลง
4. “หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์” หรือ หุ่นยนต์ที่ออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ….เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีล้ำสมัย เพราะมี “ความอเนกประสงค์” ไม่ว่าจะเดินสองขาเหมือนมนุษย์ หยิบจับสิ่งของแม่นยำ หรือแม้แต่เรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมจากการฝึกฝนในโลกเสมือน ที่สำคัญยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นมิตร ปัจจุบันมีการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์เพื่อนำไปใช้ในงานด้านต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ Optimus ของบริษัท Tesla ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต, หุ่นยนต์ Atlas ของบริษัท Boston Dynamics ใช้ในสภาพแวดล้อมอันตรายและภัยพิบัติ และ หุ่นยนต์ Unitree G1 ของบริษัท Unitree Robotics เป็นฮิวแมนอยด์ที่เปรียบเหมือนเป็นร่างอวตารของ AI มีความยืดหยุ่นเหนือระดับคนทั่วไป และเคลื่อนไหวได้แบบไร้ขีดจำกัด
5. ปัญญาประดิษฐ์ที่รู้คิดและตัดสินใจได้เอง (Agentic AI) Agentic AI คือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองจนวางแผนดำเนินงาน พร้อมปฏิบัติงานมุ่งเป้าและตัดสินใจเองได้ ทั้งยังเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วย ปัจจุบัน Agentic AI มีทิศทางการพัฒนาไปสู่การสร้างระบบนิเวศของ AI ที่ซับซ้อนและทำงานร่วมกันได้มากขึ้น ผ่านระบบหลายตัวแทน หรือที่เรียกกันว่า AI Agent
6. การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography: PQC)คอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ที่เร็วขึ้น แต่เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนกฎของการคำนวณ ทำให้ถอดรหัสข้อมูลที่เคยปลอดภัยได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งภัยคุกคามที่น่ากังวลที่สุดคือผู้ไม่หวังดีอาจดักเก็บข้อมูลที่เข้ารหัส แล้วรอถอดรหัสในวันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมพร้อมใช้งาน เทคโนโลยี "การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม" จึงเป็นเทคโนโลยีที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ เป็นการสร้างกุญแจที่ถอดรหัสยากขึ้นกว่าเดิม
7. อุปกรณ์อัจฉริยะฝังในร่างกาย (Smart Implants) Smart Implants คือ อุปกรณ์ฝังในร่างกาย ที่นอกจากจะทำหน้าที่พื้นฐาน เช่น ทดแทนอวัยวะหรือช่วยการทำงานของอวัยวะบางส่วนแล้ว ยังตรวจวัดสัญญาณชีพ ประมวลผล และส่งข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ อุปกรณ์ประเภทนี้มักประกอบด้วยเซนเซอร์ขนาดเล็ก ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสื่อสารไร้สาย และอัลกอริทึม AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล
8. เทคโนโลยีเอพิเจเนติกเพื่อการตรวจประเมินสุขภาพระดับเซลล์ (Epigenetic Technology for Cellular Health Assessment) เทคโนโลยีด้านการแพทย์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพันธุกรรมมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากจนล่วงรู้ถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของยีน ช่วยเปิดเผยความเสื่อมของร่างกายและทำนายโรคได้แม่นยำขึ้น ดังเช่น เทคโนโลยีเอพิเจเนติกที่ศึกษาการควบคุมการทำงานของยีนในร่างกาย
9. เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัย (Longevity Cosmeceuticals)การดูแลสุขภาพผิวและความงามในปัจจุบันไม่ได้เน้นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังให้ความสำคัญถึงสุขภาพที่ดีจากภายในเพื่อผลในระยะยาวด้วย เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เพียงเน้นการดูแลสุขภาพผิวภายนอก เช่น การลดริ้วรอย หรือเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวเท่านั้น แต่มีจุดเด่นคือการค้นหาสารออกฤทธิ์ที่แก้ปัญหากับกลไกหลักของความชรา
10. แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ (Bispecific Antibody)โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรโลก ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดีและหายขาด แต่ขณะนี้เทคโนโลยีแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่กำลังได้รับการจับตาในฐานะเทคโนโลยีแห่งความหวังที่จะเข้ามาปฏิวัติการรักษามะเร็งแบบให้ผลแม่นยำและอาจส่งผลให้การติดเชื้อไวรัสอย่าง HIV หายขาดได้
อย่างไรก็ดี สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 10 เทคโนโลยีที่คัดเลือกมานั้น จะเป็นข้อมูลให้นักธุรกิจเลือกลงทุนใน “เทคโนโลยีดาวรุ่ง” ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผ่านการสนับสนุนหน่วยงานวิจัยไทย เช่น สวทช. เพราะมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร ความรู้ และโครงสร้างพื้นฐาน ไม่แน่ว่าเทคโนโลยีแบบใดแบบหนึ่งอาจจะเป็น Game Changer สำหรับประเทศก็เป็นได้
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO