สรุปคดีคลิปเสียง “แพทองธาร-ฮุน เซน” สั่นสะเทือนเก้าอี้นายกฯ
สรุปคดีคลิปเสียง “แพทองธาร-ฮุน เซน” สั่นสะเทือนเก้าอี้นายกฯ
จากรณี คลิปเสียงดังกล่าวซึ่งเป็นคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ซึ่งมีบางช่วงบางตอนที่ระบุว่าแม่ทัพภาคสองเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลรวมถึงกรณีที่มีการประณีประนอมให้กับฝ่ายกัมพูชา อย่างมาก ถึงขั้นว่า “อยากได้อะไรขอให้บอก” ทำให้เกิด กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างหนักรวมถึงเกิดการขับไล่รัฐบาลของกลุ่มที่เรียกว่ากลุ่มพลังปกป้องอธิปไตยไทยหลายครั้ง
ซึ่งผู้ที่ปล่อยคลิปเสียงนี้ออกมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคู่สนทนาตรงข้ามอย่างสมเด็จฮุน เซน ที่เป็นคนปล่อยคลิปเสียออกมาเองเพื่อที่จะดิสเครดิต นางสาวแพทองธาร ซึ่งก็ถือว่าได้ผลเพราะหลังจากเกิดเรื่องก็มีกลุ่ม 36 วุฒิสภายื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยในมาตรฐานจริยธรรมของนางสาวแพทอฝธาร ซึ่งขัดต่อจริยธรรมร้ายแรงในมาตรา 160 (4) เรื่องการขาดคุณสมบัติในการซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ(5) การฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง รวมไปถึง มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ซึ่งจะทำให้นางสาวแพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปโดยทันที กรณีนี้จะคล้ายคลึงกับกรณีที่อดีตนายกเศรษฐา ทวีสิน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งจากกรณีที่แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก ขึ้นเป็นรัฐมนตรีเนื่องจากเคยต้องโทษมาก่อน โดยปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลงชั่วคราว แต่ยังดำรงไว้ซึ่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการเสนอขึ้นทูลเกล้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก่อนการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
ทั้งนี้ยังไม่ได้มีเพียงแค่ในศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียวแต่ยัง อีกเรื่องอยู่ในชั้นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีที่ประธานวุฒิสภาได้ยื่นหนังสือถึงป.ป.ช. ขอให้ไต่สวนว่ามีความทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์แต่งตั้งองค์คณะไต่สวนกรณีดังกล่าว โดยมีประธานป.ป.ช.ร่วมเป็นองคณะด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายอีกศาลหนึ่งซึ่งจะเป็นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
โดยนักวิชาการบางส่วนก็มีความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ว่าเป็นกรณีร้ายแรงที่อาจจะทำให้ นายกรัฐมนตรีต้องสิ้นสภาพจากการเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเพราะข้อกล่าวหาที่รุนแรง
ซึ่งทางนักวิชาการอย่างอาจารย์วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ก็วิเคราะห์แนวทางของนายกรัฐมนตรีว่าอาจจะต้องเหนื่อยหรือมีแนวโน้มที่ผลจะออกมาเป็นลบมากกว่า
ซึ่งในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็จะต้องไปดูพยานหรือหลักฐานที่ฝั่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ยื่นชี้แจงเพราะก่อนหน้านี้มีมติ 9:0 รับคำร้องและมีมติ 7:2 สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ลงชั่วคราวนั้น ก็มีคำสั่งให้นำหลักฐานเข้าชี้แจงภายในเวลา 15 วันก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะขอเลื่อนออกไปอีก 15 วันรวมเป็นหนึ่งเดือนพอดี และศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งขีดเส้นให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา
ภายหลังจากที่ศาลรับธรรมนูญ มีมติให้นางสาวแพทองธารหยุดปฎิบัติหน้าที่ลงชั่วคราว เจ้าตัวได้ออกมา แถลงข่าวแสดงการขอโทษของประชาชน ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นตนพยายามพิสูจน์ว่าให้เป็นความตั้งใจเป็นความพยายามที่จะทำ เพื่อประเทศชาติและไม่ให้เกิดการสู้รบกันโดยเสียเลือดเสียเนื้อเพียงเท่านั้น
โดยแนวทางที่คาดว่านางสาวแพทองธารจะ ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้นเป็นไปได้ถึง 3 แนวทาง คือ
1.รอด วินิจฉัยให้การกระทั่งดังกล่าวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเนื่องจากเป็นการเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ
2.ไม่รอด การกระทำดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ในมาตรา 160 (4) (5) และมาตรา 170 (4) ซึ่งจะทำให้ควทมเป็นรัฐมนตรีตรสิ้นสุดลง ทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
3.นายกฯ ลาออก ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องไม่พิจารณา
คาดการณ์กันว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีการหารือกันในวันที่ 13 ส.ค. ที่จะถึงนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลว่าจะมีการวินิจฉัยออกมาในแนวทางไหนรวมถึงสมาชิกภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร จะยังคงอยู่หรือไม่ และส่งผลอย่างไรต่อศักยภาพรัฐบาลในภายภาคหน้า