หายนะ ‘ลำไย-ลองกอง’ ราคาร่วงหนักผลผลิตลด
ชาวสวนลำไยจี้กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าเจรจาจีน ขอผ่อนปรนเกณฑ์ใหม่ตรวจหาสารซัลเฟอร์ไดออกไซต์ (SO2) หลังลำไยถูก “ตีกลับ” หลายสิบตู้คอนเทนเนอร์ จนล้งหยุดการรับซื้อ หยุดทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับสวน ส่งผลราคาลำไยทั้งตลาดดิ่งหนัก 10-13 บาท/กก. ขณะที่ชาวสวน “ลองกองตันหยงมัส” ผลไม้ดังเมืองนราธิวาสก็แย่ ปีนี้ผลผลิตแทบเป็นศูนย์ ไม่มีของออกสู่ตลาด เหตุฝนตกชุกไม่แล้ง โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการโค่นลองกองทิ้งหันไปปลูกทุเรียนกันมากด้วย
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้นำเสนอข่าวลำไยนอกฤดูของภาคตะวันออกกำลังประสบปัญหาหนัก หลังจากที่ “จีน” ซึ่งเป็นตลาดหลักของลำไยไทยตรวจพบ “สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)” หรือกำมะถันในเนื้อลำไยเกินค่ามาตรฐาน 50 ppm จำนวนกว่า 10 ตู้คอนเทนเนอร์และถูกตีกลับมา ประกอบกับมีรายงานข่าวว่า จีนออกกฎหมายใหม่เปลี่ยนแปลงการตรวจสอบคุณภาพของลำไย โดยจะตรวจหาสาร SO2 ทั้งเปลือกและเนื้อนั้น ล่าสุดมีรายงานข่าวจากเจ้าของสวนลำไย อ.สอยดาว จ.จันทบุรี เข้ามาว่า ขณะนี้มีลำไยไทยถูกทยอยตีกลับมาเรื่อย ๆ อาทิ ล้งขนาดเล็กส่งออกไป 50 ตู้ ถูกตีกลับ 3 ตู้ ส่วนล้งใหญ่ส่งออก 90 ตู้ ถูกตีกลับมา 10 กว่าตู้ และยังมีขนส่งไปทางเรืออีก 50-60 ตู้
ส่งผลให้ “ล้งลำไย” ส่วนใหญ่หยุดการรับซื้อ หยุดทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใหม่กับชาวสวนลำไย เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จีนจะตรวจพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินกว่าค่ามาตรฐานอีก ขณะเดียวกันรอดูผลที่ทางกระทรวงพาณิชย์ จะไปเจรจากับทางการจีนเพื่อขอให้ผ่อนปรนการสุ่มตรวจเฉพาะ “เนื้อไม่เกิน 50 ppm ก่อน”
ถ้าหากแก้ไขไม่ได้ ล้งอาจจะปิดการรับซื้อเพราะทางล้งได้ทดลองการอบซัลเฟอร์ทั้งผลอย่างไรก็ไม่ผ่านมาตรฐาน ส่งผลให้ราคาลำไยหน้าสวนขนาดใหญ่ที่ทำเกรดส่งออกดิ่งลงมาเหลือ กก.ละ 20-22 บาท ต่างจากช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 28-32 บาท/กก. ขณะที่สวนลำไยขนาดเล็กถูกกดราคาเหลือ 10-13 บาท/กก.
“เดิมคาดการณ์ว่า ช่วงต้นเดือนกันยายน ลำไยเกรดส่งออกจะซื้อกันหน้าสวน กก.ละ 35-38 บาท หรือเท่ากับเม็ดเงินหายไปทันที กก.ละ 13-16 บาท ในภาพรวมลำไยทั้งจังหวัดจันทบุรี สระแก้ว มีผลผลิตรวมเกือบ 500,000 ตัน เท่ากับเม็ดเงินหายไปกว่า 50% หมายถึงรายได้จากการขายลำไยที่ควรจะได้รับ 10,000 ล้านบาท ก็ลดลงเหลือ 4,000-5,000 ล้านบาท ถ้าราคาลำไยลดต่ำลงมาเหลือ กก.ละ 7-8 บาท หรือต่ำกว่านี้ มูลค่าลำไยจะต้องลดลงอีกมาก ขณะที่ต้นทุนการทำลำไยทั่ว ๆ ไปประมาณ กก.ละ 10-12 บาท” เจ้าของสวนลำไยรายหนึ่งให้ความเห็น
โดยตอนนี้ล้งได้ชะลอจ่ายเงินมัดจำงวด 2 และงดทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแล้ว ส่วนล้งที่ทำสัญญาไว้แล้ว 30 บาทต่อ กก. ก็ต่อรองลดลงเหลือ 20 บาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการถูกสุ่มตรวจ SO2 เพราะหากถูกตีกลับก็จะความเสียหายตู้ละประมาณ 1.2-1.3 ล้านบาท และยังเสี่ยงต่อการถูกระงับเลข DOA ส่งออกอีกด้วย
ลำไยไทยมี SO2 ตกค้างมาตลอด
แหล่งข่าวจากวงการส่งออกลำไยภาคตะวันออกกล่าวว่า การตรวจพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลำไยส่งออกเป็นปัญหาที่สะสมมานานตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ทางการจีนได้แจ้งเตือนไทยและระงับล้งส่งออกที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดมาโดยตลอด และเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนได้แจ้งเปลี่ยนหลักเกณฑ์การตรวจกลุ่มผลไม้สดทั้งหมด โดยเฉพาะลำไยจะตรวจทั้งผล (ทั้งเปลือกและเนื้อ) ตามมาตรฐาน GB2760-2024 ปริมาณตกค้างของซัลเฟอร์ไดออกไซค์สูงสุดไม่เกิน 50 ppm โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า
และให้ด่านนำเข้าของจีนทุกด่านปฏิบัติตามมาตรการใหม่ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2598 ทำให้เดือนสิงหาคม 2568 มีตู้ลำไยที่สุ่มตรวจไม่ผ่านถูกตีกลับกว่า 10 ตู้ สร้างความวิตกให้ผู้ประกอบการและชาวสวนลำไยภาคตะวันออกที่เริ่มเข้าสู่ลำไยนอกฤดูและช่วงพีกสุด ต.ค.-ม.ค.มีปริมาณลำไยถึง 300,000 ตัน จากผลผลิตลำไยทั่วภาคตะวันออก 400,000 ตัน มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้แต่หวังว่า กระทรวงพาณิชย์จะเจรจากับจีนขอให้ผ่อนปรนไปใช้พิธีสารเดิม (ปี 2547) ให้ตรวจเฉพาะเนื้อลำไยไปก่อน
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ใหม่จะทำการตรวจลำไยด้วยการนำเปลือกและเนื้อมาปั่นรวมกัน โดยกำหนดค่าปริมาณสารซัลเฟอร์ไม่เกินค่ามาตรฐาน 50 ppm เท่าเดิม ซึ่งในทางปฏิบัติถ้าตรวจวิธีการนี้ต้องพบสารซัลเฟอร์แน่นอน เพราะลำไยสดที่เก็บมาจากสวนก่อนส่งออกล้งจะนำมารมหรืออบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ซึ่งสารดังกล่าวสามารถชะลอการเปลี่ยนสีของเปลือกลำไย ทำให้เปลือกมีสีเหลือง สวยงาม และลดการเน่าเสียในลำไยหลังการเก็บเกี่ยวได้ ดังนั้นตัวเปลือกลำไยต้องมีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ปริมาณ “มากกว่า” เนื้อลำไยแน่นอน
ขอเวลาล้ง-ชาวสวนปรับตัว
ส่วนการส่งออกลำไยไปตลาดอื่นนั้น เช่น ตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย ปรากฏทั้ง 3 ประเทศนี้ไทยส่งลำไยปริมาณไม่มากประมาณ 30% ถือว่า “น้อยมากถ้าเทียบกับจีนที่มีปริมาณ 90%” และทั้ง 3 ตลาดก็ต้องมีการตรวจสอบสารตกค้าง ศัตรูพืช โลหะหนัก ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เช่นเดียวกับจีน โดยอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ แต่มีข้อจำกัดโควตาต้องทำไว้ล่วงหน้า ต้องวางมัดจำ ล้งรายเล็ก ๆ เข้าไม่ถึง ยุ่งยาก ส่วนตลาดมาเลเซียต้องการลำไย “แบบกำปุก” (ลำไยที่คัดผลใหญ่ ๆ นำมามัดรวมกันเป็นพวงคล้ายกระปุกกลม ๆ) ส่วนตลาดอินเดียปริมาณน้อยเช่นกัน ขณะที่ราคาส่งออกทั้ง 3 ตลาดใกล้เคียงกัน แต่ก็ต่ำกว่าตลาดจีน 7-8 บาท/กก.
ด้าน นายสัญชัย ปุรณะชัยคีรี นายกสมาคมส่งออกผลไม้ไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ยอมรับว่า ที่ผ่านมาไทยส่งออกลำไยมีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ “เกินและสูงมาก” จนถูกจีนทักท้วง-แจ้งเตือน-ระงับล้งส่งออกมาโดยตลอด ทางสมาคมได้เสนอให้รัฐบาลไทยเร่งเจรจากับทางการจีนเพื่อผ่อนผันการตรวจสาร SO2 โดยกลับไปใช้มาตรฐานเดิมตามพิธีสารชั่วคราวก่อน เพราะเป็นการสุ่มตรวจ ที่สำคัญผู้ส่งออกไทยต้องสร้างความเชื่อมั่นให้จีนว่า เนื้อลำไยที่ส่งออกต้องไม่เกินค่ามาตรฐาน 50 ppm
“การตรวจสารซัลเฟอร์ในลำไยยังเป็นการสุ่มตรวจ ไม่ได้ตรวจทุกตู้เหมือนในทุเรียน เรามีความจำเป็นต้องขอยืดระยะเวลาการใช้มาตรการใหม่ในปีนี้ออกไปก่อน ไม่เช่นนั้นลำไยของไทยทั้งหมดจะเสียหายหนัก เพื่อเปิดโอกาสให้ล้งปรับตัวตามเกณฑ์ใหม่ของจีน” นายสัญชัยกล่าว
ดอกลองกองร่วงผลผลิตเป็นศูนย์
นอกเหนือไปจากปัญหาสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในลำไยแล้วปรากฏ “ลองกอง” ผลไม้สำคัญของภาคใต้ในปีนี้ก็เกิดปัญหาด้วย เนื่องจากผลผลิต “แทบเป็นศูนย์” หรือไม่มีลองกองออกสู่ตลาดเลย จากในอดีตที่ราคาลองกองขนาด AB เคยขึ้นไปสูงถึง 40-50 บาท/กก. ประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาราคาลองกองสูงสุด 8 บาท/กก. ชนิด A ลูกร่วง 2 บาท/กก. โดยเฉพาะ “ลองกองตันหยงมัสเบอร์ 1” ผลผลิตปีละ 6,000 ตัน ที่เคยขายได้ราคาสูงถึง AB 100-150 บาท/กก. ปรากฏในปีนี้แทบไม่มีผลผลิตออกสู่ตลาดเลย
จากการสอบถามไปยัง สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จ.สงขลา ดูแลพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า ฝนที่ตกชุกในภาคใต้ส่งผลให้ลองกองที่กำลังออกดอกร่วงหล่น ส่งผลกระทบต่อผลผลิตในปี 2568 หายไปถึง 83% เหลือประมาณ 3,800 กว่าตัน/ปี จากที่มีลองกองยืนต้นและให้ผลผลิตประมาณ 94,000 ไร่ จากผลการประชุมคณะทำงานย่อยเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ภาคใต้ ครั้งที่ 2/2568 เดือนพฤษภาคม 2568 ที่มีลองกองจำนวน 94,550 ไร่ โดยเฉพาะลองกองตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งมีชื่อเสียงอันดับต้นของไทย และได้รับความนิยมสูงสุดที่มีผลผลิตประมาณ 6,000 ตัน/ปี แต่มาในฤดู 2568 “แทบจะไม่ได้ผลผลิตเลย”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาราคาลองกองตันหยงมัสไซซ์ AB ราคา 100-150 บาท/กก. แต่ปีนี้ราคาไม่มีเพราะไม่มีผลผลิต โดยลองกองจะออกผลผลิตดีต้องกระทบแล้งประมาณ 2 เดือน แต่ปีนี้เดือนกรกฎาคม 2568 ฝนยังตกไม่ได้ทิ้งช่วงจึงไม่มีผลผลิตลองกองตามที่คาดการณ์ไว้ “พื้นที่ที่เคยปลูกลองกองกว่า 94,000 ไร่ ก็ได้ทยอยลดลงทุกปีเพราะชาวสวนโค่นลองกองหันมาปลูกทุเรียนแทนในระยะหลัง เพราะราคาลองกองไม่จูงใจมากกว่าการปลูกยาง ปาล์ม และทุเรียน”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : หายนะ ‘ลำไย-ลองกอง’ ราคาร่วงหนักผลผลิตลด
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net