VPN คืออะไร ? เปลี่ยน VPN เสี่ยงผิดกฎหมาย ?
หากพูดถึงการรับชมคอนเทนต์ที่ถูกจำกัดในบางประเทศ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “มุด VPN” ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม แต่สงสัยหรือไม่ว่า VPN คืออะไรกันแน่ และการกระทำนี้จะถือว่าเป็นการละเมิดหรือผิดกฎหมายหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบให้ !
ทำความรู้จักกับ VPN
VPN (Virtual Private Network) หรือ เน็ตเวิร์กจำลองแบบส่วนตัว เกิดขึ้นในปี 1996 เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ได้คิดค้นระบบ PPTP (Point-to-Point Tunneling Protocol) โปรโตคอลตัวแรกสุดที่เป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี VPN
โดยเทคโนโลยีตัวนี้จะช่วยให้เราสร้าง “อุโมงค์” (Tunnel) ที่เข้ารหัสและปลอดภัยระหว่างอุปกรณ์ของเรากับอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลที่ส่งผ่านอุโมงค์นี้ไม่สามารถถูกดักจับหรือติดตามได้โดยง่าย และยังสามารถทำให้เราเหมือนไปใช้งานอินเทอร์เน็ตจากอีกที่หนึ่งในโลกได้อีกด้วย
การจะต่อ VPN Client ซอฟต์แวร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้เชื่อมต่อจากระยะไกลโดยเข้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต กับอุปกรณ์ของเรา จะต้องผ่านการสร้างช่องทางในการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กขึ้นมา ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า Interface
Interface ของ VPN จะถูกสร้างขึ้นมา เมื่อเราติดตั้งโปรแกรมในการเชื่อมต่อ VPN ใด ๆ ก็ตาม โดยจะสร้าง VPN Interface ขึ้นมา เป็นอีก Interface หนึ่ง เอาไว้เชื่อมกับ VPN Server หรือปลายทางที่ Client จะเชื่อมด้วย เช่น ถ้าเราอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และมีความจำเป็นต้องใช้ Database ของออฟฟิศที่ประเทศไทย เราจะต้องใช้ VPN เพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรที่ประเทศไทย เป็นต้น
ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่หลายองค์กรต้องปรับตัวเข้าสู่รูปแบบ Work from Home การใช้งาน VPN กลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พนักงานจำเป็นต้องเชื่อมต่อ VPN เพื่อเข้าถึงไฟล์, โปรแกรม และฐานข้อมูลสำคัญของบริษัทจากที่บ้านได้อย่างปลอดภัย การใช้ VPN ทำให้การทำงานจากระยะไกลเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยเหมือนกับอยู่ในออฟฟิศ
ประโยชน์ของ VPN
นอกจากจะช่วยให้เราเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกจำกัดได้แล้ว VPN ยังมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น
- เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
VPN ช่วยเข้ารหัสข้อมูลของคุณ ทำให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP), แฮกเกอร์ หรือแม้แต่รัฐบาลไม่สามารถติดตามพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของเราได้
- ลดความเสี่ยงเมื่อใช้งาน Wi-Fi สาธารณะ
การใช้ Wi-Fi ฟรีตามร้านกาแฟหรือสนามบินมีความเสี่ยงสูงที่ข้อมูลของคุณจะถูกดักจับ แต่ VPN จะช่วยเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดของเรา ทำให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการถูกจำกัดความเร็ว (Throttling)
ISP บางรายอาจลดความเร็วอินเทอร์เน็ตของเรา เมื่อตรวจพบว่าคุณกำลังสตรีมมิงหรือดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ แต่ VPN จะช่วยซ่อนกิจกรรมเหล่านี้จาก ISP ทำให้คุณสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้เต็มประสิทธิภาพ
ทำไม VPN ถึงช่วยให้เราดูคอนเทนต์ต่างประเทศได้ ?
คอนเทนต์สตรีมมิงหลายอย่าง เช่น Netflix หรือ YouTube มักจะมีการจำกัดการเข้าถึง (Geo-restriction) ตามภูมิภาคหรือประเทศ นั่นเป็นเพราะข้อตกลงด้านลิขสิทธิ์กับเจ้าของคอนเทนต์ เมื่อเราพยายามเข้าถึงเว็บไซต์เหล่านี้ ระบบจะตรวจสอบที่อยู่ IP (IP Address) ของเรา เพื่อระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ หาก IP ของเราอยู่ในประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาต เราก็จะเข้าถึงคอนเทนต์นั้นไม่ได้
แต่เมื่อคุณเชื่อมต่อ VPN ที่เซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ในประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น หรือสหราชอาณาจักร ที่อยู่ IP ของคุณจะถูกเปลี่ยนให้เป็นของเซิร์ฟเวอร์นั้น ทำให้เว็บไซต์ปลายทางเข้าใจว่าเรากำลังใช้งานอินเทอร์เน็ตจากประเทศนั้น ๆ และอนุญาตให้เราเข้าถึงคอนเทนต์ที่ถูกล็อกไว้ได้ในที่สุด
การละเมิดลิขสิทธิ์ผ่าน VPN ถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ?
การใช้งาน VPN นั้นถูกกฎหมาย ในเกือบทุกประเทศ แต่การกระทำที่ผิดกฎหมายผ่าน VPN ก็ยังมีปรากฏให้เห็น เช่นกรณีการใช้ VPN เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์สตรีมมิงที่ถูกจำกัด ไม่ได้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง แต่เป็นการละเมิดข้อตกลงการใช้งาน (Terms of Service) ของผู้ให้บริการนั้น ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้บัญชีของเราถูกระงับได้
ในทางกลับกัน การดาวน์โหลดหรือสตรีมคอนเทนต์ที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาตผ่าน VPN ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ผิดกฎหมายไม่ว่าจะใช้ VPN หรือไม่ก็ตาม
ดังนั้น การใช้ VPN จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการท่องอินเทอร์เน็ต แต่การกระทำที่ผิดกฎหมายผ่านเครื่องมือนี้ก็ยังคงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอยู่
สิ่งสำคัญคือ อย่าใช้ VPN ในประเทศที่ผิดกฎหมาย อย่าง เบลารุส, จีน, อิรัก, อิหร่าน, โอมาน, รัสเซีย, ตุรกี, ยูกันดา, สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเวเนซุเอลา รวมไปถึงอย่าใช้เพื่อทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านการดาวน์โหลดเถื่อน
ตัวอย่างโทษที่เคยเกิดขึ้น
- ปี 2020 ชายคนหนึ่งในจีนถูกลงโทษทางปกครองเพราะพยายามเลี่ยง Great Firewall
- ปี 2019 ผู้ให้บริการ VPN รายหนึ่งถูกจำคุก 5 ปีครึ่ง และปรับ 76,000 เหรียญสหรัฐฯ
- ปี 2017 ชายคนหนึ่งถูกปรับราว 155 เหรียญสหรัฐฯ เพียงเพราะใช้ VPN
แม้โทษเหล่านี้จะเป็นกรณีร้ายแรง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าการเลือก VPN ที่เหมาะสมเมื่อเดินทางไปประเทศที่จำกัดเสรีภาพอินเทอร์เน็ตนั้นสำคัญมาก ดังนั้น ก่อนเดินทาง ควรศึกษาข้อจำกัดเรื่อง VPN และการเข้าถึงเนื้อหาสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายในประเทศนั้น ๆ ด้วย
แต่ก่อนที่จะมีเทคโนโลยี VPN อย่างแพร่หลายให้ใช้กันอย่างทุกวันนี้ องค์กรต่าง ๆ มักจะใช้ “Port Forward” เพื่อให้พนักงานที่อยู่นอกออฟฟิศสามารถเข้าถึงเครือข่ายภายในได้
Port Forward คือการตั้งค่าให้เราสามารถเข้าถึงบริการบางอย่างในเครือข่ายภายในได้จากอินเทอร์เน็ตภายนอก
สืบเนื่องมาจากองค์กรในยุค 90 พบว่าการทำ Port forward ไม่สะดวก มีข้อจำกัด และมีความเสี่ยงที่จะถูกเจาะเข้าไปในระบบดังที่กล่าวไปข้างต้น จึงทำการปิดการเชื่อมต่อ Port forward แล้วเปลี่ยนเทคโนโลยีมาต่อด้วย VPN แทน
ด้วยเหตุนี้ VPN ที่มีความปลอดภัยสูงกว่าและจัดการง่ายกว่าจึงเข้ามาแทนที่ ทำให้การเชื่อมต่อจากระยะไกลมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากขึ้นอย่างมาก