จับตาบทบาท บารมี ที่มาแทนคุณหญิงอ้อ เอม-พินทองทา ชินวัตร หญิงใหญ่ บ้านจันทร์ส่องหล้า
เปิดบทบาท-บารมี เอม-พินทองทา คุณากรวงศ์ ชินวัตร ในฐานะ “หญิงใหญ่” แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ผงาดขึ้นแทนคุณหญิงอ้อ-พจมาน ปรากฏตัวฝ่ามรสุมการเมืองถล่มบ้านชินวัตร ทุกศาล-ทุกคดีใหญ่ ที่ทักษิณ ชินวัตร ถูกกล่าวหา ทุกเวลาที่ อิ๊ง-แพทองธาร เพลี่ยงพล้ำจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 31
เมื่อ 20 ปีก่อน หลังอำนาจของ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มอัสดง ต้องเดินทางขึ้น-ลงศาล ไม่เว้นแต่ละเดือน ทั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ศาลอาญา ปรากฏภาพประมุขหญิงแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า คู่บารมี คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (นามสกุลในขณะนั้น) เคียงคู่เสมอ
ภาพที่ทุกคนเห็นบทบาทคุณหญิงพจมาน หรือคุณหญิงอ้อ คือ เธอจะประคองสามี-ทักษิณ ขึ้นรถก่อน และตามด้วยลูกสาวคนโต ลูกสาวคนเล็ก และลูกชาย ตัวเธอเองจะปิดขบวน ขึ้นรถเป็นคนสุดท้ายเสมอ
ในห้วงนี้ คนในตระกูลชินวัตร กลับมาขึ้นศาลอีกครั้ง ทั้งศาลฎีกา ศาลอาญา และศาลรัฐธรรมนูญ ทว่าครานี้ บุคคลที่ต้องขึ้นให้การต่อสู้คดีในศาล เพิ่มขึ้นอีกคน-คู่ขนาน คนหนึ่งคืออดีตนายกรัฐมนตรีผู้พ่อ-ทักษิณ และนายกรัฐมนตรี-แพทองธาร ชินวัตร
ปรากฏการณ์ต่อสู้คดี 2 พ่อลูกนายกรัฐมนตรี รอบใหม่นี้ ไม่มีภาพคุณหญิงอ้อ ปรากฏตัว ทว่ามีหญิงใหญ่-ลูกสาวคนโต แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ปรากฏตัวขึ้นทำหน้าที่และบทบาทแทนคุณหญิงอ้อ
เอม-พินทองทา ในฐานะลูกสาวคนโต นอกจากเธอจะคุมสถานการณ์อยู่เบื้องหลัง “ทีมชินวัตร” ทั้งในแวดวงธุรกิจ และแวดวงการเมือง เธอยังเป็นผู้ที่ตัดสินใจเด็ดขาดคนสุดท้ายในทุกเหตุการณ์เสมอ
มีกิจการบางอย่าง ที่ชินวัตร ต้องเผาเงินมาหลายปี แต่เมื่อ เอม-พินทองทา ในฐานะกรรมการบริษัท ตัดสินใจว่าจะยุติ ทุกอย่างก็จบลงและเคลียร์บิล-จ่ายเงินชดเชยอย่างรวดเร็ว-เป็นธรรม
เอม เคยชื่อ “อัพ” ดันธุรกิจชินวัตรพุ่ง
เอม-พินทองทา วัย 43 ปี คลอดจากครรภ์มารดา-คุณหญิงอ้อ เมื่อเกิด 17 เมษายน พ.ศ. 2525 เธอเล่าผ่าน หนังสือเรื่อง THAKSIN SHINAWATRA Theory and Thought ซึ่งตีพิมพ์ก่อนทักษิณ ชินวัตร ได้กลับเมืองไทย 2 ปี เกี่ยวกับตัวเธอและพ่อ ไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับชื่อและชีวิตของเธอ
พินทองทา เล่าว่า “ก่อนชื่อเอม ในสูติบัตรเราเคยชื่ออัพนะ” ชื่อนี้มีที่มาจากสถานการณ์ธุรกิจครอบครัว
“ก่อนปี 2525 เป็นช่วงที่ธุรกิจที่บ้านกำลังแย่ เช็คเด้งตลอด แต่เรามาเป็นลูกเขา มีดีลธุรกิจอันหนึ่งที่ทำให้ความเป็นอยู่ของเราอัพขึ้นมา เหมือนได้หายใจเฮือกใหญ่ พ่อแม่ก็เลยตั้งชื่อให้ว่าอัพ แล้วสักพักหนึ่งเขาก็เริ่มเอ๊ะ ว่าเราเป็นเด็กผู้หญิงนี่ จึ่งค่อยเปลี่ยนมาเป็นเอม”
เมื่อต้องพูดถึงพ่อ-ทักษิณ อัศวินคลื่นลูกที่ 3 เอม-พินทองทา “หญิงใหญ่” แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า บอกว่า “พ่อคือผู้นำความเซอร์ไพรส์มาสู่บ้าน ได้เห็นของเล่นใหม่ต่างจากของเล่นที่เด็กทั่วไปเล่นกัน”
“มันคือโทรศัพท์ไร้สายขนาดใหญ่ เป็นเหมือนกระติกน้ำ สมัยก่อนจะมีแต่โทรศัพท์บ้านมีสาย แต่ที่พ่อหิ้วให้ เป็นแบบไร้สายหนักมาก คุณพ่อทำท่าทางโทรให้ดูและบอกว่าต่อไปนี้เราสามารถโทรศัพท์หาใครก็ได้ทุกที่จากในรถของเรา ลูกสามารถโทรหาพ่อได้ตลอดนะ ไม่จำเป็นต้องโทรที่ออฟฟิศ”
ลูกสาวนักธุรกิจ มองรอยเท้าของพ่อ ว่า “ทั้งบทบาทนักธุรกิจ นักการเมือง พ่อเป็นคนที่มีแพสชัน เวลาทำอะไรเขาจะมีความสุขเสมอ เราไม่เคยเห็นเขากลับบ้านมาบ่นว่าเหนื่อยจังเลย แต่เขาสนุก พ่อเป็นนักลองผิดลองถูกและนักให้โอกาส”
“เอม คิดว่าพ่อสอนเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต นี่คือตัวตนเขาที่เราสัมผัสได้ เขาเคยพูดว่า ถึงจะเป็นด็อกเตอร์แล้ว เราก็หยุดเรียนรู้ไม่ได้ เราต้องอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ พ่อเป็นคนหาความรู้แบบบแตกสาขาออกไป สนใจทุกเรื่อง เรื่องช่างตัดผมพ่อก็คุยได้ ได้ทุกศาสตร์ พ่อเขาไม่เคยรู้สึกว่าฉันรู้ดีที่สุด ไม่ใช่ เรื่องไหนที่เขาไม่รู้ เขาจะไปคุยกับคนที่รู้”
เอมก็เลยโตมาแบบไม่เคยคิดว่า เฮ้ย ถ้าเราพูดมุมนี้แล้วใครพูดต่างไป เราจะคิดว่าผิดหรือไม่รับฟัง เราก็จะรู้สึก เออ มันมองได้หลายมุมนะ เป็นการเคารพมุมมองที่ต่างได้
พินทองทา ลมใต้ปีก แพทองธาร
ตั้งแต่ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร ปรากฏตัวทางการเมือง ปักธงเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) เอม-พินทองทา ปรากฏตัวเคียงข้าง ช่วงโค้งสุดท้ายการหาเสียงเลือกตั้งใหญ่
กระทั่งวันที่ แพทองธาร เข้าสู่วาระสำคัญ “วันโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 31” แม้เหตุการณ์เกิดขึ้นที่รัฐสภา แต่เอม-พินทองทา ปรากฏตัวที่ Voice Space เคียงคู่น้องสาว เกาะติดเสียงโหวต
หลัง แพทองธาร ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี เอม-พินทองทา บอกว่า “ชีวิตเหมือนฝัน”
เธอโพสต์ใน IG ว่า “ขอแสดงความยินดีกับนายกฯ คนที่ 31 ของประเทศไทย ตั้งแต่ที่พี่จำความได้ก็รู้มาตลอดว่ามีน้องสาวเป็นคนมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว เก่ง กล้า จิตใจเข้มแข็ง และจริงใจ ให้ใจจริงกับทุกๆ คนที่สุด ในวันนี้สำหรับตัวเองยังเหมือนเรื่องฝันๆ แต่อย่างไรก็ตาม พี่พร้อมเสมอและสนับสนุนทุกการตัดสินใจของน้อง และพร้อมเป็นที่สบายใจให้หันมาหาเสมอจ้า เคารพใจและนับถือภาวะผู้นำที่เสียสละของท่านนายกฯ ค่ะ”
เธอมักปรากฏกาย ในวาระสำคัญของรัฐบาล อาทิ งานเปิดตัวนโยบาย “บ้านเพื่อคนไทย” และแน่นอนว่าวาระสำคัญของทักษิณ เธอก็อยู่ในหัวแถว-หัวโต๊ะ VVIP
2 ทศวรรษทางการเมือง ของครอบครัวชินวัตร
ในช่วง 10 ปีแรก ที่ทักษิณ ชินวัตร พเนจรอยู่ต่างประเทศ บทบาทคุณหญิงพจมาน สูงยิ่งในการเคลื่อนในคลื่นใต้น้ำ เพื่อให้ทักษิณ ได้กลับบ้าน คู่ขนานการเดินทางไป-กลับ ของ 2 ลูกสาว ลูกชาย ระหว่างกรุงเทพฯ-ดูไบ ทุกเทศกาล
เอม-พินทองทา กล่าวถึง 2 ทศวรรษ ที่ “พ่อ” และครอบครัวชินวัตร เผชิญหน้ากับกระแสสังคม สงครามสีเสื้อ และคดีความ ว่า “เราไม่สามารถไปควบคุมความคิดของทุกคน หรือพยายามโน้มน้าวเขาให้มาชอบเราได้ทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะเหนื่อยมากเลยนะ แล้วเราก็มีลูกเล็กด้วย ถ้าเรามีพลังงานน้อยหรือไม่มีพลังงานที่ดี มันจะซึมเข้าเด็ก ถ้ามองโลกในแง่ร้าย เราว่าเด็กคงจะอยู่ในโลกที่สับสน เราได้แต่บอกลูกว่า เราไม่จำเป็นต้องรอให้ทุกคนยอมรับจึงจะมีความสุขได้ เราว่ามันเหนื่อยไป”
วันที่ทักษิณ กลับเมืองไทย เอม-พินทองทา บอกความรู้สึกใน IG ตอนหนึ่งว่า “ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2549 ตัวเอมเอง ในวันนั้นก็ไม่คิดว่าทุกอย่างจะยาวนานมาถึงวันนี้ 17ปี มีหลากหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นล้วน เป็นบททดสอบที่เข้มข้น และเป็นบทเรียนที่หลากหลาย ทำให้เราได้เติบโตและเข้มแข็ง และความรู้สึกท่วมท้นนี้ไม่สามารถบรรยายได้ครบจริง…”
หญิงใหญ่ มากบารมี เคียงค้างทุกคดี “พ่อ-น้อง”
หลังทักษิณ ชินวัตร ได้กลับเมืองไทย ท่ามกลางเสียง “ดีล” ที่ดังก้องมา 2 ปี และดอกผลของเส้นทางกลับบ้าน และกระบวนการพ้นจากที่คุมขังในโรงพยาบาลตำรวจ กว่า 180 วัน และบทสนทนากับสื่อระหว่างใช้ชีวิตในต่างประเทศ ส่งผลให้ทักษิณ ต้องขึ้นโรง-ขึ้นศาล อีกรอบ
ตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2568 ทั้งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และนายทักษิณ ชินวัตร ต้องต่อสู้คดีแบบถี่ยิบ
ทักษิณ-นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 สู้คดี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากการคำให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อเดือน พ.ค.2558 และคดีพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ หรือ “คดีชั้น 14”
แพทองธาร นายกรัฐมนตรี คนที่ 31 สู้คดี “คลิปเสียง” ที่สนทนากับ ฮุนเซ็น ผู้นำกัมพูชา ที่ศาลรัฐธรรมนูญ
บทบาทและบารมีของ “เอม-พินทองทา” เข้ามาแทนที่คุณหญิงอ้อ เธอไปปรากฏตัวเคียงคู่ “พ่อและน้องสาว” ในทุกวาระ
ล่าสุด เธอเปิดอ้อมกอดให้พ่อ ในฐานะผู้ชนะ ก่อนอ่านคำพิพากษา “ยกฟ้อง” ในฐานะเป็นผู้ถูกกล่าวหาในศาลอาญารัชดา คดี อาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568
ก่อนหน้านั้น 1 วัน “หญิงใหญ่” แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า เดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญ โอบอุ้มให้กำลังใจน้องสาว ในคดี “คลิปเสียง” สนทนากับฮุนเซ็น ผู้นำกัมพูชา ที่ประธานวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
ราว 60 วันก่อนหน้านี้ พินทองทา เดินทางขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล หลังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ นายกรัฐมนตรี-น้องสาว “หยุดปฏิบัติหน้าที่” เพราะคดี “คลิปเสียง” ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม 2568
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7:2 สั่งแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย สืบเนื่องจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธารจะสิ้นสุดลงหรือไม่ เพราะไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากมูลเหตุ “คลิปเสียง” บทสนทนาระหว่างแพทองธาร กับสมเด็จฮุนเซ็น ประธานวุฒิสภากัมพูชา
ในรอบ 24 ชั่วโมง ของวันที่ 1 กรกฏาคม 2568 ลูกสาวคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรี ต้องเดินทางไปที่ ศาลอาญารัชดา เพื่อติดตาม ทักษิณ ชินวัตร เพื่อฟังการสืบพยานโจทก์นัดแรกในคดี หมายเลขดำ อ.1860/2567 ซึ่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์
หญิงใหญ่-พินทองทา คุมกิจการเครือชินวัตร
เมื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เธอส่งบัญชีหุ้นของกิจการชินวัตรทั้งหมด ไว้ใจให้มืออาชีพอย่าง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเกียรตินาคินภัทร จำกัด ดำเนินการตามสัญญาจัดการหุ้นส่วนของรัฐมนตรี
การกุมบังเหียนธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในการบริหารจัดการของ เอม-พินทองทา และสามี ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ทั้ง 3 พี่น้องแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ลงทุนและร่วมบริหารกิจการของตระกูล ทั้ง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC และบริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา บริษัท SC ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 27 ส.ค. 2568 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 9 กันยายน 2568 ซึ่งหากอ้างอิงภาพรวมข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 6 พ.ค. 2568 มีตัวเลข 3 น้องตระกูลชินวัตร จะได้รับเงินปันผลรวมกันกว่า 122 ล้านบาท
ตัวเลขคร่าว ๆ ที่ “หญิงใหญ่” ได้ปันผล ราว 58 ล้านบาท น้องสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ปันผลรอบนี้ 60 ล้านบาท ทิ้งยอดของพี่ชายไว้ที่ 2.8 ล้านบาทเท่านั้น
เอม-พินทองทา ถือหุ้นในกิจการของเครือชินวัตร ทั้ง 19 บริษัท มูลค่าหุ้นประมาณ 8,703,406,014 บาท ครอบคลุมกิจการอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ ในนามของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์อย่าง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นในโรงแรมโรสวูด รวมทั้งบริษัท เทมส์ วัลลี่ย์ เขาใหญ่ โฮเต็ล จำกัด ที่ถือหุ้นในโรงแรม เทมส์ วัลลี่ย์ เขาใหญ่
พินทองทา แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า และคฤหาสน์ย่านปทุมธานี เริ่มเรียนหนังสือระดับมัธยมต้น ต่อโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ และโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เข้าเรียนคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ปริญญา ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์ บริหารรัฐกิจ) และบินไปเรียนปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จาก CASS Business School, City, University of London
เธอมีทายาทกับณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ รวม 3 คน ลูกสาวฝาแฝด และลูกชาย 1 คน
สังคมชนชั้นนำ และการเมือง จับตาบทบาทของ “หญิงใหญ่ แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า” วันที่ 29 สิงหาคม 2568 วันชี้ชะตาคดี แพทองธาร ชินวัตร และวันที่ 9 กันยายน 2568 คดี “ชั้น 14” ของทักษิณ ชินวัตร