รพ.เอกชน ส่งสัญญาณชะลอตัว ทุนใหญ่ “รัดเข็มขัด” บริหารต้นทุนพยุงธุรกิจ
นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยในปัจจุบัน โดยภาพรวมอาจนับได้ว่าอยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากกระแสข่าวด้านลบที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายไปตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 รวมถึงปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองกระทบต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ที่แม้เริ่มมีสัญญาณดีในช่วงเดือนพฤษภาคมแต่เมื่อถึงเดือนกรกฎาคมกลับเกิดสงครามชายแดน ส่งสัญญาณให้กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนหลายรายต้องรัดเข็มขัดคุมเรื่องการเงินอย่างเคร่งครัด รักษาเสถียรภาพทางการเงินไว้ให้ได้มากที่สุด
“ปีนี้ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงพยาบาลช่วง 4 เดือนแรก เรียกได้ว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงรักษาผลงานได้ดีและเติบโตขึ้น แต่สังเกตได้ว่าการเติบโตดังกล่าวเกิดจากแผนบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โรงพยาบาลบางแห่งมีแหล่งรายได้เสริมจากส่วนอื่นๆ มากกว่าบริการด้านการแพทย์และการรักษาพยาบาลเพียงอย่างเดียว ส่วนแผนการขยายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอาคารใหม่หรือเปิดศูนย์การแพทย์เฉพาะทางใหม่ๆ ถูกระงับหรือเลื่อนออกไปก่อน บางโครงการถูกชะลอมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว เพื่อรอดูความชัดเจนของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง”
นอกจากนี้ ยังเห็นการทบทวนปรับแผนงานใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ท้าทายเพราะอาจประเมินทิศทางของธุรกิจและคาดการณ์ได้ยากว่าตลาดจะเติบโตหรือหดตัวลง แต่ประมาณการณ์บวกลบคาดไม่เกิน 5%
นพ.ไพบูลย์ กล่าวว่า การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นความหวังที่สำคัญที่สุด หากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจากอาเซียน, จีน, รัสเซีย และตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและนิยมเดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์ในไทย จะเกิดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ฟื้นรายได้ในธุรกิจโรงพยาบาลได้ แน่นอนว่าสถานการณ์การเมืองในประเทศก็ต้องมีเสถียรภาพและไม่มีเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรง ถึงจะส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทันที
ทั้งนี้ ตัวเลขผลประกอบการของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ของไทยในภาพรวมปี 2567 ยังคงคึกคัก กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนต่างมีผลประกอบการเติบโตทั้งรายได้และกำไรถ้วนหน้า สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ระบุว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 มีรายได้ราว 3.22 แสนล้านบาท ส่วนปี 2568 คาดการณ์รายได้ขยายตัวต่ำราว 3% หรือคิดเป็น 3.3 แสนล้านบาท ซึ่งผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของโรงพยาบลขนาดใหญ่มี ดังนี้
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ผลประกอบการรวม 6 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 55,586 ล้านบาท เติบโต 5% กำไรสุทธิ 7,836.35 ล้านบาท เติบโต 5.78% มีกำไรสุทธิ 7,836.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.78% ขณะที่ปี 2567 มีรายได้รวม 52,987 ล้านบาท เติบโต 9% กำไรสุทธิ 7,408 ล้านบาท เติบโต 14%
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 3,489.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.65% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 3,334.87 ล้านบาท การเติบโตมาจากรายได้ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น 4% โดยรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเพิ่ม 3% และผู้ป่วยชาวต่างชาติเพิ่ม 6%
บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ในไตรมาส 2/2568 มีรายได้จากกิจการโรงพยาบาล 6,005 ล้านบาท ลดลง 4.4% จาก 6,282 ล้านบาท ในปี 2567 โดยหลักเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ 6.6% และการลดลงของรายได้จากผู้ป่วยชาวไทย 0.2% เป็นผลให้รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็นสัดส่วน 35.6% จากทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างประเทศคิดเป็น 64.4% ในไตรมาส 2 ปี 2568 เทียบกับ 34.1% และ 65.9% ตามลําดับในไตรมาส 2 ปี 2567
ขณะที่ผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทมีรายรวม 12,310 ล้านบาท ลดลง 6.4% กำไรสุทธิ 3,591.46 ล้านบาท ลดลง 8.39% ขณะที่ปี 2567 มีรายได้รวม 12,901 ล้านบาท เติบโต 1.1% กำไรสุทธิ 3,916.62 ล้านบาท
ด้านนายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ PRINC Group ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีรายได้รวม 1,406.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.49% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในครึ่งปีแรก มีรายได้รวม 2,866.2 ล้านบาท เติบโต 6.70% ขาดทุน 248.2 ล้านบาท ขณะที่ 6 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้รวม 2,686.1 ล้านบาท เติบโต 14.3% ขาดทุน 178.1 ล้านบาท
ด้านบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 ว่า มีรายได้กิจการโรงพยาบาล 3,020.20 ล้านบาท เติบโต 5.70% เมื่อเทียบกับ มาจากผู้ป่วยทั่วไป 1,911.9 ล้านบาท ผู้ป่วยนอก 1,101.80 ล้านบาท เติบโต 1.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 388.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.10% สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงพยาบาลแห่งใหม่ ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์ เนชั่นแนล เวียงจันทน์ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี
ขณะที่ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก มีรายได้รวม 5,974.0 ล้านบาท เติบโต 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากรายได้ผู้ป่วยโครงการประกันสังคมเพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรายรับส่วนเพิ่มจากการรักษาผู้ป่วย 26 โรคเรื้อรัง 77.5 ล้านบาท และรายได้จากผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากโรคระบบทางเดินหายใจระบาดในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 709.53 ล้านบาท เติบโต 19.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 596.00 ล้านบาท
ด้าน บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรื THG ในไตรมาส 2 ปี 2568 พบว่า มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 2,205.85 ล้านบาท ลดลง 6.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง เนื่องจากการลดลงของผู้ป่วยชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากกัมพูชา จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แม้ว่าฐานลูกค้าชาวไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างมากก็ตาม บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 5.92 ล้านบาท ลดลง 113.83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 7.13 ล้านบาท ลดลงกว่า 85% เมื่อเทียบกับกำไร 49.20 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2567
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยยังคงต้องจับตาดูสถานการณ์ต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 กับปัจจัยและผลกระทบหลายอย่างที่ยังไม่สามารถคาดเดาได้