ถอดรหัส “มหกรรมปล้นกลางแดด” คดีหุ้น MORE จากแผนลวงสู่บทเรียนราคาแพง
การแถลงความคืบหน้าครั้งสำคัญของ 5 องค์กรผู้บังคับใช้กฎหมายและกำกับดูแลตลาดทุน อาทิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.), สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ตอกย้ำภาพความสำเร็จในการไล่ล่าขบวนการฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ในคดีหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ที่เคยสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยอย่างรุนแรง
โดยหลักฐานที่รวบรวมได้ชี้ชัดว่านี่คือ “การปล้นทรัพย์ผ่านตลาดทุนอย่างเป็นขบวนการ” นำไปสู่การสั่งฟ้องผู้ต้องหากว่า 42 ราย และยึดอายัดทรัพย์สินได้กว่า 4,700 ล้านบาท บทสรุปของคดีนี้ไม่เพียงแต่จะนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ยังเป็นกรณีศึกษาครั้งสำคัญที่นักลงทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนต้องจดจำ
ถอดวิธีการ "ปล้น" กลางตลาดหุ้น
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้จากข้อมูลที่ทีมข่าวของ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้รับเบาะแสจากแหล่งข่าวในแวดวงตลาดทุน และหน่วยงานที่ตรวจสอบ พบว่า ปฏิบัติการเกิดขึ้นในเช้าวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 เริ่มต้นขึ้นก่อนตลาดเปิดทำการ ด้วยการตั้งคำสั่งซื้อหุ้น MORE ในช่วงก่อนเปิดตลาด (ATO) จำนวนมหาศาลถึง 1,500 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.90 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้าอย่างผิดปกติ
กลไกที่กลุ่มผู้กระทำผิดใช้ประโยชน์อย่างแยบยลคือ การใช้ช่องว่างของระบบ T+2 อธิบายให้เข้าใจง่าย ผู้กระทำผิดอาศัยระบบการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ในอีก 2 วันทำการ (T+2) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกการซื้อในตลาดหุ้น ด้วยการส่งคำสั่งสั่งซื้อหุ้นจำนวนมหาศาลโดยที่ไม่มีเจตนาจะชำระเงินจริง
นอกจากนี้ก๊วนหุ้น MORE ยังใช้บัญชีมาร์จิ้นเป็นเครื่องมือ มีการวางแผนให้นายอภิมุข บำรุงวงศ์ หรือ "ปิงปอง" นำหุ้น MORE ที่มีอยู่ไปใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอวงเงินสินเชื่อ (Margin) จากบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) หลายแห่ง การทำเช่นนี้ทำให้กลุ่มผู้กระทำผิดมีอำนาจซื้อในมือสูงกว่า 4,500 ล้านบาท
โดยคำสั่งซื้อปริมาณมหาศาลนั้นมาจากผู้ซื้อเพียงรายเดียวที่ใช้บัญชีผ่านโบรกเกอร์หลายแห่ง ในขณะที่ฝั่งขายก็มาจากกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดเช่นกัน เมื่อถึงกำหนดชำระเงิน (T+2) ฝั่งผู้ซื้อได้ผิดนัดชำระหนี้ตามกฎแล้ว โบรกเกอร์ฝั่งซื้อจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าหุ้นให้กับฝั่งผู้ขายไปก่อน เท่ากับว่ากลุ่มผู้กระทำผิดซึ่งอยู่ทั้งฝั่งซื้อและขาย ได้ร่วมกัน "ปล้น" เงินจากโบรกเกอร์ไปอย่างถูกกฎเกณฑ์ของตลาดทุน
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือราคาหุ้น MORE ดิ่งลงติดฟลอร์ทันทีหลังถูกผลักดันขึ้นไปในช่วงเปิดตลาด เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงเป็นประวัติการณ์ให้แก่โบรกเกอร์หลายสิบรายรวมมูลค่าเกือบ 5,000 ล้านบาท และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ ถึงกับต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาต หลังจากนำเงินของลูกค้าไปจ่ายค่าหุ้น MORE โดยไม่ได้รับอนุญาต
บทเรียนราคาแพงสำหรับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น
กรณีของหุ้น MORE ได้ทิ้งบาดแผลและบทเรียนสำคัญไว้ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น ซึ่งมีข้อควรระวังgริ่มจาก
อย่าไว้ใจบัญชีซื้อขายของคุณกับใคร : กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระบุชัดเจนว่า ผู้ต้องหาในคดีนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม รวมถึง "กลุ่มเจ้าของบัญชี" ที่อนุญาตให้นำบัญชีไปใช้ โดยกฎหมายจะถือว่าเจ้าของบัญชีต้องรับผิดชอบร่วมด้วย ไม่ว่าจะรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ก็ตาม
ระวังหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายสูงผิดปกติ : การตั้งคำสั่งซื้อขายที่หนาแน่นผิดปกติโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เป็นสัญญาณอันตรายที่นักลงทุนต้องพึงระวัง และเป็นที่มาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำระบบ "Auto Pause" มาใช้เพื่อหยุดการซื้อขายชั่วคราวเมื่อพบความผิดปกติของราคา เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาไตร่ตรอง
เข้าใจความเสี่ยงของบัญชีมาร์จิ้น : แม้บัญชีมาร์จิ้นจะเพิ่มอำนาจการซื้อ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น การกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อซื้อหุ้นตัวเดียวที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันนั้นมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง[cite: 55].
ความเชื่อมั่นที่ถูกทำลายส่งผลกระทบระยะยาว : แม้บริษัทจะยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่ราคาหุ้น MORE ได้ทรุดตัวลงอย่างหนักนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ และยังไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือสามารถทำลายมูลค่าของบริษัทในสายตานักลงทุนได้อย่างยั่งยืน[cite: 38].
แม้เหตุการณ์นี้จะเป็นฝันร้ายของตลาดทุนไทย แต่ก็ได้นำไปสู่การยกระดับมาตรการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น การประสานงานอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพของหน่วยงานต่างๆ ได้กลายเป็นต้นแบบในการจัดการกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กรณีศึกษาของหุ้น MORE จึงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังว่า ในโลกของการลงทุน ความโลภที่ขาดความระมัดระวังอาจนำไปสู่ความเสียหายที่ประเมินค่ามิได้ ทั้งต่อตนเองและต่อระบบโดยรวม.