COM7 กำไร Q2 โต 33.2% มุ่งธุรกิจใหม่สร้างมูลค่าเพิ่ม
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) (COM7) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ เท่ากับ 20,713.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,327.9 ล้านบาท (+12.7%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากความสามารถในการรักษาการเติบโตของยอดขายผลิตภัณฑ์ในทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า เทคโนโลยีที่ยังคงมีความต้องการสูงในตลาด ซึ่งสะท้อนผ่านอัตราการเติบโตของยอดขายร้านค้าเดิม (SSSG%) ที่อยู่ที่ประมาณ 6% ทั้งนี้ บริษัทสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยมีการจัดหาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการ ของตลาด ทั้งในแง่ของคุณภาพ ราคา และช่องทางการเข้าถึง นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมยังมีส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้ภาพรวมของกลุ่มบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
กำไรขั้นต้น เท่ากับ 2,861.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 283.7 ล้านบาท (+11.0%) โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้รวมเท่ากับ 13.8% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการบริหารการทำโปรโมชั่นสินค้า ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และตลาด ทำให้บริษัทยังคงสามารถมีรายได้จากการจำหน่ายที่เติบโตได้ดีแม้จะไม่ได้พึ่งพากลยุทธ์ส่งเสริมการขายเชิงรุกหรือการใช้ โปรโมชั่นที่อาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นก็ตาม
รายได้อื่น เท่ากับ 67.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.7 ล้านบาท (+87.6%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจาก รายได้จาก การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ และรายได้จากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV7) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายพอร์ตการให้เช่ารถยนต์ ไฟฟ้าในกลุ่มลูกค้าองค์กรและบุคคลทั่วไป รวมถึงรายได้เงินปันผลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงผลจากการบริหารจัดการสินทรัพย์และการ ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพของบริษัท ทำให้สามารถสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ที่มีความหลากหลาย และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วย สนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ค่าใช้จ่ายในการขายและต้นทุนในการจัดจำหน่าย และค่าใช้จ่ายในการบริหารรวม เท่ากับ 1,639.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.9 ล้านบาท (+1.4%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตของผลการดำเนินงาน ประกอบกับ บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนในการขายและต้นทุนในการจัดจำหน่ายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดังกล่าวต่อรายได้รวมเท่ากับ 7.9% ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เท่ากับ 8.8%
ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ทางการเงิน เท่ากับ 24.6 ล้านบาท ลดลง 8.2 ล้านบาท (-25.0%) โดยมีสาเหตุหลักมาจากลูกหนี้ ส่วนใหญ่ในพอร์ตเป็นลูกหนี้ที่มีคุณภาพดี ส่งผลให้บริษัทสามารถลดภาระต้นทุนด้านการบริหารจัดการหนี้ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ และ การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตเป็นไปตามปกติสอดคล้องกับสภาพการณ์ดำเนินธุรกิจจริง โดยมีสัดส่วนเฉลี่ยไม่เกิน 3% ของ พอร์ทลูกหนี้ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของพอร์ตลูกหนี้ธุรกิจเช่าซื้อภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด นอกจากนี้ บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเห็นได้จากระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปัจจุบันที่อยู่ต่ำ กว่า 2.0% โดยอยู่ในกรอบความเสี่ยงที่บริษัทกำหนดไว้ไม่เกิน 3.0% แสดงถึงเสถียรภาพและความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาว
ขาดทุนอื่น เท่ากับ 17.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากผลขาดทุนจากการ ลงทุนในตลาดตราสารทุน และตราสารหนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงที่ผ่านมา โดยการลงทุน ดังกล่าวเป็นเงินสำรองของบริษัทย่อยในธุรกิจประกันภัย และเป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการ ประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินว่าการขาดทุนดังกล่าวเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว และมีแนวโน้มที่ จะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต หากภาวะตลาดโดยรวมฟื้นตัว เนื่องจากบริษัทได้บริหารจัดการการลงทุนอย่างรอบคอบ โดยมีการติดตาม ความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด และบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ต้นทุนทางการเงิน เท่ากับ 70.1 ล้านบาท ลดลง 5.1 ล้านบาท (-6.8%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากการ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามนโยบายของธนาคารกลาง อย่างไรก็ตาม เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภคที่สูงขึ้น บริษัทได้บริหารเงินกู้ระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์ให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ได้อย่างทันท่วงที รวมถึง การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง Ecosystem ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่รับรู้ตามวิธีส่วนได้เสีย เท่ากับ 24.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.0 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทร่วมที่มีทิศทางดีขึ้น
กำไรส่วนของบริษัทใหญ่เท่ากับ 1,003.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250.2 ล้านบาท (+33.2%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สรุปพัฒนาการที่สำคัญ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568
บริษัทมีจำนวนสาขารวมทั้งสิ้น 1,320 สาขา โดยในไตรมาสนี้บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์การบริหาร จัดการช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างรอบคอบ ส่งผลให้มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นสุทธิ 9 สาขา เมื่อเทียบกับสิ้นไตรมาสที่ 1 โดยสาขาที่เปิด ใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นสาขาหลักของบริษัทภายใต้ชื่อแบรนด์ร้าน Studio7 และ BaNANA ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวในการ สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์หลักและขยายการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน บริษัทได้ตัดสินใจปิดสาขาบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาขาขนาดเล็ก รวมถึงสาขาที่ไม่ได้มีการลงทุนโดยตรง แต่เป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ร่วมกับพันธมิตรหรือการฝากขาย โดยสาขาเหล่านี้มีผลการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายและไม่ สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยยอดขายเฉลี่ยต่อเดือนที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท การตัดสินใจดังกล่าวจึงเป็นไป เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มผลกำไรโดยรวมของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่เหลือของปี บริษัทยังคงมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในครึ่งปีหลังของปี 2568
บริษัทยังมุ่งมั่นในธุรกิจใหม่ที่เป็น Mega trend ในตลาด และมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ บริษัทระยะยาว และบริษัทยังคงเดินหน้าทำตามแผนธุรกิจเชิงกลยุทธ์ที่เน้นเทคโนโลยีนำสมัยและพลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประกอบด้วย การร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาและนำเสนอโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) การลงทุนในธุรกิจบริการ คลาวด์ (Cloud) เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และการเข้าสู่ตลาดรถแท็กซี่ไฟฟ้า (Taxi EV) เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงาน สะอาดในภาคขนส่ง ในขณะเดียวกันสำหรับธุรกิจที่ไม่สร้างผลกำไร อันได้แก่ 4Paw บริษัทก็จะยุติการดำเนินธุรกิจภายในสิ้นปีนี้ เช่นกัน
ในส่วนของธุรกิจหลักที่เป็นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีไฮไลต์ที่สำคัญ ก็คงเป็น iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด รวมถึงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี รุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี AI ซึ่งจะเปิดตัวขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ด้วย ซึ่งมาพร้อมด้วยโปรแกรมสนับสนุนทางด้านการเงิน UFUND ที่ รองรับให้ผู้บริโภคได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีใหม่ๆ นี้ได้โดยสะดวก รวมถึงชุดการรับประกันที่คุ้มค่าจาก iCARE โดยเฉพาะ COVER+ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มาพร้อมคุณประโยชน์เพิ่มเติมให้กับผู้บริโภคอีกด้วย
ในส่วนของสาขา บริษัทยังคงมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องอีก 80 สาขา เพื่อบรรลุเป้าหมาย 1,400 สาขาในสิ้นปี 2568 เพื่อ สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด บริษัทจึงมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันผลการด าเนินงานในครึ่ง ปีหลังให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง