เศรษฐกิจ ‘ญี่ปุ่น’ Q2 ขยายตัวเกินคาด หนุน BOJ ขึ้นดอกเบี้ย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “เศรษฐกิจญี่ปุ่น” ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ขยายตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอีกครั้งในปีนี้
สำนักงานคณะรัฐมนตรีรายงานวันนี้ (15 ส.ค.)ว่า GDP ขยายตัวอยู่ที่ 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.4% นอกจากนี้ ทางการยังได้ปรับแก้ตัวเลขการเติบโตของไตรมาสแรกให้ดีขึ้นเป็น 0.6% จากเดิมที่เคยคาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลง
4 ปัจจัยหนุนศก.ญี่ปุ่นโต
แม้จะมีความท้าทายจากการค้าโลก แต่ภาคเอกชนและภาคธุรกิจของญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่งและเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
การลงทุนของภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นถึง 1.3% และบริษัทขนาดใหญ่มีแผนจะเพิ่มการลงทุนถึง 11.5% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเศรษฐกิจ
การใช้จ่ายของประชาชนซึ่งคิดเป็นเกือบ 60% ของ GDP เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.2% แม้จะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ แต่การที่ค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น
การส่งออกของญี่ปุ่นยังคงเติบโตถึง 2% ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตถึง 0.3% แม้จะเผชิญกับมาตรการภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นจากสหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ของบริษัทต่างๆ ที่ยอมลดราคาสินค้าเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด รวมถึงการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็น 25%
การท่องเที่ยว ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการส่งออกสุทธิ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นถึง 18% ในไตรมาสนี้ และมีจำนวนนักท่องเที่ยวทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568
หนุน BOJ ‘ขึ้นดอกเบี้ย’
BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ หลังจากสัญญาณทางเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้
แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น จะยังคงดอกเบี้ยไว้ตามเดิมในการประชุมนโยบายครั้งต่อไปในวันที่ 19 ก.ย.นี้ แต่ผลสำรวจจาก Bloomberg ชี้ว่านักเศรษฐศาสตร์ประมาณ 42% คาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนต.ค.
ก่อนหน้านี้ Kazuo Ueda ผู้ว่าการ BOJ เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่า ทางการจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งหากมีความเชื่อมั่นว่าความต้องการซื้อจากภายในประเทศยังคงแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
สรุปข้อตกลงการค้า ‘ญี่ปุ่น-สหรัฐ’
รายงานตัวเลข GDP ที่ออกมาเป็นตัวเลขแรกที่สะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน โดยญี่ปุ่นต้องเผชิญกับมาตรการภาษีเหล็ก 25% และภาษีรถยนต์ 25% จากสหรัฐ ซึ่งในตอนแรกมีการประกาศใช้ภาษีเหล็กที่ 25% ในเดือนมี.ค.
เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้ภาษีนำเข้าในอัตรา 15% สำหรับสินค้าจากญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ด้วย ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าที่ทรัมป์ เคยขู่ไว้ว่าจะเก็บภาษีที่ 25%
ข้อตกลงดังกล่าวได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทำให้ราคาหุ้นหลักของญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์นี้ ดัชนีนิกเกอิ 225 ทะลุ 43,000 จุด เนื่องจากนักลงทุนมองว่าบริษัทต่างๆ จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นหลังจากได้ข้อสรุปเรื่องข้อตกลงทางการค้า
แม้ว่าอัตราภาษีนำเข้าจะลดลงกว่าที่คาด แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่บ้าง จากการสำรวจของ JCER พบว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ามาตรการภาษีศุลกากรดังกล่าวจะทำให้ GDP ของญี่ปุ่นหดตัวลง 0.2-0.4% ซึ่งเป็นการคาดการณ์ในระดับที่ลดลงจากที่เคยประเมินไว้ในเดือนพ.ค.ที่ 0.4-0.6%
แนวโน้ม Q3 ยังเสี่ยง
ในไตรมาสที่สาม สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากร เนื่องจากผลของการเร่งส่งออกสินค้าล่วงหน้าในไตรมาสก่อนหน้าได้สิ้นสุดลงแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่จะประกาศในสัปดาห์หน้าจะแสดงให้เห็นว่าราคาผู้บริโภคยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าเป้าหมายที่ BOJ ตั้งไว้ในเดือนก.ค.