BANPU ชี้พื้นฐานยังแน่น! แย้มผลงานครึ่งปีหลังสดใส เดินหน้ากลยุทธ์ Energy Symphonics ปักหมุดก้าวสู่ SET50 ในอนาคต
BANPU ชี้พื้นฐานยังแกร่ง หลังครึ่งปีแรกกวาด EBITDA กว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แย้มผลงานครึ่งปีหลังสดใส ผ่านการขับเคลื่อนกลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ อย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้าก้าวสู่ SET50 ในอนาคต สะท้อนวิสัยทัศน์การเติบโตอย่างยั่งยืนและความพร้อมในการรับมือความท้าทายของตลาดพลังงานโลก
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ครึ่งปีแรกปี 2568 บ้านปูขยายการเติบโตภายใต้กลยุทธ์ Energy Symphonics โดยมุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ (Portfolio Optimization) หมุนเวียนเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ศักยภาพสูง ควบคู่กับการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน (Operations & Cost Excellence) และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง รวมถึงการบริหารโครงสร้างเงินทุน (Rebalanced Capital Structure) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว ความคืบหน้าที่โดดเด่นเห็นได้จาก 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและ CCUS ธุรกิจ Renewables+ และธุรกิจเหมืองยุคใหม่ ที่เรามองว่าเป็นภารกิจสำคัญที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน”
สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 2,521 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,144 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 42.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,428 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการรับรู้ผลขาดทุนจากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ไม่กระทบต่อกระแสเงินสด และความแข็งแกร่งของการดำเนินงานของบริษัทฯ
“ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ สามารถสร้างกระแสเงินสดได้เป็นอย่างดี โดยมี EBITDA อยู่ที่ประมาณ 500 กว่าล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง ผลผลิตโดยรวมของบริษัทค่อนข้างมั่นคง แม้ว่าราคาถ่านหินเฉลี่ยจะลดลงเล็กน้อยจาก 130 กว่าเหรียญในปีที่แล้ว มาอยู่ที่ประมาณ 100 เหรียญต่อตันในปีนี้ ขณะที่ราคาแก๊สกลับปรับตัวสูงขึ้นจากเดิมที่อาจจะต่ำในปีที่แล้ว มาอยู่ที่ประมาณ 3.5-4 เหรียญ และบริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวก (bullish) ต่อราคาแก๊สในอนาคต พร้อมทั้งได้มีการล็อกราคาไว้ค่อนข้างมาก
ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้ามีความมั่นคง โดยมีทั้งสัญญาแบบ PPA (Power Purchase Agreement) และธุรกิจที่ต้องเทรดไฟฟ้าเอง ซึ่งในส่วนของการเทรดไฟฟ้าเองนั้น บริษัทฯ ได้ล็อกราคาไว้แล้ว 50% ส่วนอีก 50% จะพิจารณาจากสภาพอากาศในสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งคาดว่าราคาจะยังคงสูงอยู่ โดยรวมแล้วมองว่าบริษัทฯ ทำผลงานได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก แม้จะมีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) เล็กน้อยในส่วนของกำไรสุทธิ (Net Profit) ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทเป็นบุ๊คดอลลาร์ และมีการออกบอนด์ในสกุลเงินบาทเพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโดยรวมในส่วนของการดำเนินงานยังคงมั่นคงและยังรอโชว์ผลงานจากปีนี้และปีหน้า” นายสินนท์ กล่าว
ขณะที่แนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ยังคงมั่นคง ทั้งผลผลิตจากเหมือง, แก๊ส และธุรกิจโรงไฟฟ้ายังคงแข็งแกร่ง ราคาแก๊ส ณ ปัจจุบันอาจลงมาอยู่ที่ 3 เหรียญ แต่คาดว่าจะกลับขึ้นไปได้ในที่สุด ส่วนราคาถ่านหินตอนนี้อยู่ที่ 110 เหรียญต่อตัน และคาดว่าจะรักษาระดับนี้ไว้ได้ในปีนี้ โดยจะไม่กลับขึ้นไปเป็น V-shape ธุรกิจโรงไฟฟ้าก็ยังคงมั่นคงเช่นกัน
ในส่วนของเป้าหมาย EBITDA โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 1,200-1,500 ล้านเหรียญต่อปี ขึ้นอยู่กับราคาแก๊ส และคาดว่าปี 2568 จะยังอยู่ในช่วงดังกล่าว ทั้งนี้ การบริหารความเสี่ยงด้าน FX นั้น บริษัทฯ มีแผนป้องกันความเสี่ยง โดยทีมการเงินจะดูแลเรื่อง Interest Rate Swap และ Cross Currency Swap เพื่อช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ย การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นการผนวกรวม (integrate) การลงทุนที่ทำไปแล้วในครึ่งปีแรก
ด้านกลยุทธ์ในอนาคตยังคงเน้นที่ Energy Synchronized ซึ่งคือการสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจพลังงานดั้งเดิม (Traditional Energy) กับธุรกิจพลังงานใหม่ (New Energy) บริษัทมีเป้าหมายที่จะปรับพอร์ตการลงทุน โดยต้องการให้ EBITDA จากธุรกิจที่ไม่ใช่ถ่านหิน (non-coal) มากกว่า 50% ภายในปี 2030
นอกจากนี้ยังตั้งเป้าให้ EBITDA ในปี 2573 เติบโตขึ้น 1.5 เท่าจากปี 2566 ในด้านการลดคาร์บอน บริษัทตั้งเป้าลดคาร์บอน 20% ภายในปี 2030 และได้มีการลดไปแล้วในปีนี้ บริษัทยังคงเน้นการเติบโตใน 4 ด้านของ Energy Symphonic ได้แก่ แก๊ส, CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage), โรงไฟฟ้าแก๊ส และ Battery Farm รวมถึงธุรกิจแร่ธาตุแห่งอนาคต
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในธุรกิจใหม่เป็นส่วนสำคัญ โดยบริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในธุรกิจ Niko เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญของ BANPU โดยการเข้าลงทุนใน Niko ใช้เงินประมาณ 370 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตแก๊ส 108 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็นประมาณ 1 ใน 8-1 ใน 9 ของการผลิตทั้งหมดของบริษัทที่ 800-900 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งบริษัทฯ จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนรายได้จาก Niko คาดว่าจะเริ่มเข้ามาหลังจากการซื้อขายเสร็จสิ้นในไตรมาส 4 ปีนี้ และจะเข้ามาเต็มปีในปี 2569 ทุกการลงทุนจะเน้นการสร้าง Cash Return ที่ดีและต้องมี Internal Rate of Return (IRR) เป็นตัวเลขสองหลัก (double digit)
สำหรับความเสี่ยงที่น่ากังวล บริษัทมองว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึง AI ถือเป็นความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม บริษัทเน้นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินสดที่ดีและรักษากระแสเงินสดให้แข็งแกร่ง
“บ้านปูมุ่งสู่การเป็นบริษัทพลังงานระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติ (Operational Excellence) โดยเน้นสร้าง Synergy และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง พร้อมลงทุนในอนาคตและปรับพอร์ตให้สมดุลระหว่างพลังงานดั้งเดิมกับพลังงานใหม่ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานทุกรูปแบบของโลก บ้านปูตั้งเป้าเป็นผู้เล่นหลักในการขับเคลื่อน Energy Transition อย่างยั่งยืนในหลายประเทศ และเชื่อมั่นว่าจะเติบโตจนเข้าสู่ดัชนี SET50 ได้ในอนาคต” นายสินนท์ กล่าวทิ้งท้าย