ทองคำโลกร่วงหลังพีครอบ 2 สัปดาห์ ดอลลาร์แข็ง-จับตาเฟดลดดอกเบี้ย
ราคาทองคำโลกปรับตัวลดลงในเช้าวันจันทร์ หลังจากแตะระดับสูงสุดรอบสองสัปดาห์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ แม้กระแสคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เพิ่มขึ้นยังคงช่วยพยุงตลาดทองคำไม่ให้ร่วงแรง
ราคาทองคำสปอตลดลง 0.2% อยู่ที่ 3,364.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 01.09 GMT หลังจากแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐฯ ส่งมอบเดือนธันวาคมอ่อนตัว 0.3% อยู่ที่ 3,409.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (.DXY) ขยับขึ้น 0.2% เทียบกับสกุลเงินหลัก หลังจากร่วงลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 4 สัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้ทองคำมีความน่าสนใจน้อยลงในสายตานักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากต้องใช้เงินสกุลดอลลาร์ที่แข็งค่ามากขึ้นในการซื้อทอง
แรงกดดันจากดอลลาร์แข็งค่ามาพร้อมกับความคาดหวังต่อท่าทีผ่อนคลายทางการเงินของเฟด หลังประธานเจอโรม พาวเวล ส่งสัญญาณเมื่อวันศุกร์ว่าอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 17 กันยายน โดยให้เหตุผลว่าความเสี่ยงต่อการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา ซึ่งทำให้ตลาดตีความว่าเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากขึ้น
ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ระบุว่า ขณะนี้ตลาดให้น้ำหนักมากถึง 87% ต่อการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายน และคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยรวม 48 จุดเบสิสภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยมักเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ เนื่องจากลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน เช่น ทองคำ
นอกจากทองคำแล้ว โลหะมีค่าตัวอื่น ๆ เคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนตัวเช่นกัน โดยสปอตซิลเวอร์ลดลง 0.2% อยู่ที่ 38.09 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แพลทินัมร่วง 0.3% อยู่ที่ 1,356.95 ดอลลาร์ และพัลลาเดียมอ่อนตัว 0.6% อยู่ที่ 1,119.67 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ในเอเชีย ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นรับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่าเฟดจะกลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ขณะที่ความต้องการทองคำแท่งจริงในตลาดเอเชียยังซบเซาในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะความผันผวนของราคา แต่ในอินเดีย ช่างทองเริ่มกลับมาซื้ออีกครั้งเพื่อเตรียมเข้าสู่ฤดูกาลเทศกาลสำคัญ
นักลงทุนทั่วโลกยังจับตาตัวเลขดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับขึ้นแตะ 2.9% สูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2023 และจะเป็นข้อมูลสำคัญต่อการตัดสินใจของเฟดในครั้งต่อไป