แฉ‘ฮุน เซน’แค้น‘ทักษิณ’ หลอกซื้อหุ้นบางจาก24%
"สม รังสี" อ้างสื่อนอกรายงานข้อพิพาทระหว่าง "ฮุน เซน" กับ "ทักษิณ" พยายามซื้อหุ้นบางจาก 24% ราคาหลายพันล้านดอลลาร์ ใช้โบรกเกอร์ชื่อ "เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์" ชาวแอฟริกาใต้สัญชาติเขมร แต่กองทุนประกันสังคมซึ่งมีส่วนแบ่ง 14% ในบริษัทบางจาก ไม่ยอมขาย ทําให้ "ฮุน เซน" โกรธมาก ถูกหลอกเอาเงินหลายล้านดอลลาร์ ขณะที่ทหารเขมรลอบวางทุ่นระเบิดเพิ่ม ใกล้เนิน 350 ปราสาทตาควาย
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 นายสม รังสี นักการเมือง อดีตผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่หนีคดีการเมืองไปลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส โพสต์เฟซบุ๊กว่า Asia Sentinel รายงานข้อพิพาทระหว่างฮุน เซนกับทักษิณ ว่าได้มีความพยายามซื้อหุ้น 24% ในบริษัทบางจาก ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของไทย ในราคาหลายพันล้านดอลลาร์ โดยใช้โบรกเกอร์ชื่อว่า เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ชาวแอฟริกาใต้ถือสัญชาติกัมพูชา แต่ประเทศไทยโดยกองทุนประกันสังคม ซึ่งมีส่วนแบ่ง 14% ในบริษัทบางจากไม่ยอมขาย ทําให้ฮุน เซนโกรธมาก เพราะถูกหลอกเอาเงินหลายล้านดอลลาร์
เรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 นําไปสู่การโต้เถียงส่วนตัวระหว่างฮุน เซนกับทักษิณ ซึ่งการโต้เถียงนี้คือต้นตอของปัญหาที่ทําให้ฮุน เซนโกรธ จนกล้ายกเลิกการสนทนาทางโทรศัพท์กับลูกสาวทักษิณ (แพทองธาร)
ความขัดแย้งได้ลากชีวิตทหารและพลเรือนเข้าสู่สงครามที่ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมที่สุดที่ผู้คนเอาชีวิตคนไปแก้แค้นเพราะความขัดแย้งส่วนตัว
Asia Sentinel รายงานความขัดแย้งระหว่างฮุน เซนกับทักษิณไว้ว่า ผู้ที่พยายามจะคว้าหุ้น 24% ในบางจาก บริษัทพลังงานหลักของไทย ในราคาหลายพันล้านดอลลาร์ผ่านโบรกเกอร์ชื่อ Benjamin Mauerberger สัญชาติแอฟริกาใต้กับสัญชาติกัมพูชา อย่างไรก็ตาม กองทุนประกันสังคมซึ่งคุม 14% ของบางจากได้ปฏิเสธที่จะขาย ซึ่งกระตุ้นความโกรธแก่ฮุน เซน เนื่องจากเขาถูกโกงเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์
ตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 ข้อโต้แย้งได้เพิ่มขึ้นเป็นความบาดหมางส่วนตัวระหว่างฮุน เซนและทักษิณ ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง จนฮุน เซน ถึงกับปล่อยคลิปการสนทนาทางโทรศัพท์เกี่ยวกับลูกสาวทักษิณ "แพทองธาร"
สิ่งที่เริ่มต้นจากการโต้แย้งทางธุรกิจ ขณะนี้ได้หลั่งไหลเข้าไปในกิจการของชาติ ลากทหารและพลเรือนเข้าสู่สงครามที่ไร้ความจําเป็น การเสียสละชีวิตมนุษย์เพราะความแค้นส่วนตัวไม่ใช่แค่ความไม่ยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังไร้มนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2568 เวลาประมาณ 11.50 น. กองร้อยอาวุธเบาที่ 1 กองพันทหารราบที่ 27 ตรวจพบการวางกับระเบิดแสวงเครื่องในลักษณะใช้ลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดประกอบกับการใช้ลวดสะดุดของทหารกัมพูชา ในพื้นที่ทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย ห่างจากเนิน 350 ประมาณ 1.7 กิโลเมตร ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ใกล้กับบริเวณแนวการวางลวดหนามป้องกันตนเองในเขตไทย
ทั้งนี้ ยุทธวิธีของทหารกัมพูชาสอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 ที่ฝ่ายไทยตรวจพบทหารกัมพูชาดักซุ่มและตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งต่อมาจากการเข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบการวางทุ่นระเบิด PMN-2 รวม 3 ทุ่น พร้อมลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิด 2 ลูก และตะปูเรือใบจำนวนมาก คาดว่าลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดดังกล่าวจะถูกเตรียมนำมาใช้ในการวางกับระเบิดแสวงเครื่องตามที่ปรากฏ
พล.ต.วินธัยกล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว การกระทำและหลักฐานแสดงให้เห็นถึงการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการใช้กับระเบิดแสวงเครื่องเป็นอาวุธลอบโจมตีทหารไทย โดยหวังผลให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตในดินแดนของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกัน การกระทำดังกล่าวยังย้อนแย้งกับท่าทีที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือนต่อประชาคมระหว่างประเทศ ว่าตนเป็นผู้รักสันติและยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง ทั้งที่ข้อเท็จจริงและหลักฐานต่างๆ ที่พบ ยืนยันได้ว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลง รวมทั้งอนุสัญญาออตตาวามาโดยตลอด
จากกรณีนายชุม ซอนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา แถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชา-ไทย ซึ่งได้สรุปว่า กัมพูชายืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง พร้อมได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรนานาชาติ และกล่าวหาว่าฝ่ายไทยละเมิดข้อตกลงดังกล่าวนั้น โฆษกกองทัพบกชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ประเทศไทยยึดมั่นและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด พร้อมดำเนินการให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาไทยเปิดกว้างให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวอาเซียน (IOT) คณะจาก ICRC และพันธมิตรนานาประเทศ รวมถึงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทุกจุดโดยเสรี ไม่เคยมีการปิดกั้นข้อมูล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความบริสุทธิ์ใจของฝ่ายไทย ที่ดำเนินการทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม กลับพบว่าฝ่ายกัมพูชาซึ่งอ้างว่ายึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง อาจเป็นเพียงภาพการสื่อสารเพื่อสร้างผลเชิงภาพลักษณ์เท่านั้น เพราะในความเป็นจริงฝ่ายกัมพูชายังมีการลักลอบวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทยอยู่ตลอด จนส่งผลให้กำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง อีกทั้งยังไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม แม้ฝ่ายไทยจะได้เสนอผ่านเวทีการประชุม GBC และ RBC มาโดยตลอด
นอกจากนี้ กัมพูชายังเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนกล่าวหาไทย เช่นเรื่องการใช้อาวุธเคมี หรือบิดเบือนว่าทุ่นระเบิดที่พบเป็นของเก่าตกค้างจากสงครามในอดีต ทั้งที่ฝ่ายไทยมีหลักฐานพิสูจน์ยืนยันได้ชัดเจน สำหรับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงผ่านการใช้ทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา ถือเป็นการบ่อนทำลายความพยายามแก้ปัญหาในระดับทวิภาคีของกัมพูชาเอง
โฆษกกองทัพบกยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันฝ่ายไทยให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน และฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน โรงพยาบาล หรือระบบสาธารณูปโภค พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชนและนานาชาติ ที่ร่วมมือและแสดงน้ำใจช่วยเหลือกันอย่างเข้มแข็ง
ในขณะเดียวกัน ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือเหตุการณ์ที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาสนับสนุนให้ประชาชนรุกล้ำเข้ามาอาศัยในเขตพื้นที่ประเทศไทย รวมถึงในเขตพื้นที่อ้างสิทธิของประเทศไทย ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลง MOU 43 แม้ฝ่ายไทยจะประท้วงอย่างสันติมาอย่างยาวนาน แต่กัมพูชากลับเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา
"สังคมและนานาชาติควรตระหนักและรับรู้ว่า ที่ผ่านมากัมพูชาพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ดังกล่าว อีกทั้งยังพยายามใช้กลุ่มประชาชนออกหน้าแทนด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว จึงควรจับตาดูว่าจากนี้ไปกัมพูชาจะใช้วิธีการในลักษณะ 'โล่มนุษย์' มาแก้ปัญหาเหมือนในช่วงที่ผ่านมาอีกหรือไม่” พลตรีวินธัยระบุ.