La Glace บิวตี้ฉีกขนบ กล้าจะ Niche แม้ในวันที่ Mass
ตลาดบิวตี้ไทยโตแรงอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การโดดลงแหวกว่ายใน Red Ocean ที่เต็มไปด้วยคู่แข่งติดอาวุธครบมือโดยไม่จมหายไปนั้นอาจยากเกินไปสำหรับแบรนด์เล็ก
แต่ La Glace บิวตี้แบรนด์ไทยที่เริ่มต้นจากผู้ก่อตั้ง Gen Z เพียง 2 คนซึ่งแรกเริ่มไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเลยแม้แต่น้อย กลับพิสูจน์ตัวเองด้วยยอดขายกว่า 420 ล้านบาทในปี 2567 จากลูกบ้า และความกล้าที่จะเป็นตัวเองอย่างถึงที่สุด
🟡 นำหน้าคนอื่นด้วยความคิดริเริ่ม
ในช่วงที่เทรนด์สกินแคร์ในไทยยังไม่บูมมาก La Glace พยายามหาลู่ทางใหม่ๆ ที่จะกรุยทางเข้าตลาดนี้ แบรนด์เล็งเห็นว่าโทนเนอร์แพดเป็นสินค้าขายดีในเกาหลี และไทยกำลังให้ความสนใจ แต่มีราคาสูงมาก จึงหาช่องว่างที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้
La Glace ไปดีลซัปพลายแผ่นสำลี Toner Pad มาจากเกาหลี แต่ผลิตตัวสินค้าในประเทศไทย ทำให้ต้นทุนถือว่าสูงหากเทียบกับคู่แข่ง แต่ก็ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้แตกต่างจากคนอื่นในตลาด โดยยอมลด Marketing Cost เพื่อจะขายสินค้าคุณภาพดีในราคาเข้าถึงง่าย
สิ่งนี้ช่วยเพิ่ม Retention Rate หรืออัตราการซื้อซ้ำของลูกค้า เนื่องจากผลิตภัณฑ์เมกอัป เช่น ลิปสติก มีรอบการซื้อซ้ำที่ช้า Toner Pad จึงเป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้ลูกค้าวกกลับมาหาแบรนด์ได้ไวขึ้น
🟡 หาทางที่ใช่ และต่างไปจากคนอื่น
“อะไรที่เป็นช่องว่างในตลาด เจ้าใหญ่ไม่ทำ เจ้าเล็กไม่สู้ La Glace จะเข้าไปเล่นตรงนั้น”
ในปี 2566 La Glace มีชื่อเสียงในระดับ Mass แล้ว แต่วิสัยทัศน์ของ CEO มองว่าตลาด Make Up ในไทยน่าเบื่อ เทรนด์ไหนมาก็ไหลตามกันจนตลาดเต็มไปด้วยสินค้าคล้ายๆ กัน จึงผุดไอเดียทำบลัชหลายสีเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกรูปแบบ และตอนนั้นเองที่ได้ Hero Product อย่าง ‘บลัชดำ’ (BLACK MAGIC LIP & CHEEK PH BLUSH) ซึ่งหาได้ยากในตลาดเมกอัปไทย ณ เวลานั้น
ซึ่ง Wow Effect จากโปรดักต์นี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ บลัชดำขายออกไปกว่า 1.5 ล้านชิ้นในเวลาไม่นาน และยังดึงลูกค้าหน้าใหม่เข้าสู่แบรนด์มากมาย ด้วยความกล้าที่จะแตกต่าง หาอะไรใหม่ๆ มาย้ำตัวตนความเป็น Niche Brand แม้ในวันที่อยู่บน Safe Zone แล้วก็ตาม
🟡 ตัวตนของแบรนด์ต้องมีค่า
บิวตี้แบรนด์ทุกเจ้าต่างบอกว่าตัวเองขายคุณภาพ แต่นอกเหนือจากนั้น La Glace กลับเลือกที่จะขายตัวตนไปด้วยกัน
La Glace ขาย ‘ไลฟ์สไตล์’ และสร้างสถานะของผู้ใช้ ต้องการให้คนหยิบสินค้าแล้วรู้สึกภูมิใจที่มีผลิตภัณฑ์ของ La Glace ขึ้นโชว์ต่อหน้าคนอื่น และแบรนด์ยังยึดมั่นในการวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) อย่างพิถีพิถัน แต่ละชิ้นใช้เวลาอย่างต่ำปีครึ่ง และนานสุดอาจถึง 3-4 ปี เพื่อให้ได้ของดีที่สุด
นอกจากนี้ ความจริงใจกับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ La Glace ให้ความสำคัญ เช่น การทำโปรโมชั่น 1 แถม 1 โดยไม่ขึ้นราคา การเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และการสร้างนวัตกรรมที่แปลกใหม่แต่ตอบโจทย์ชีวิตจริง ทำให้ La Glace ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์เครื่องสำอาง แต่เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
🟡 ฝันไกล ไปถึงได้ด้วยจุดยืนที่มั่นคง
ทุกแบรนด์อยากเติบโตอย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับ La Glace ที่อยากไปให้ถึงคำว่าแบรนด์บิวตี้พันล้าน
สำหรับ La Glace การเติบโตอย่างยั่งยืนคือการรักษา Core Value ของแบรนด์ และการไม่ลดคุณภาพสินค้าแม้จะมีการลดต้นทุนในส่วนอื่น แม้แบรนด์จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือมีนายทุนเข้ามา แต่คุณภาพต้องไม่หลุด
La Glace ยังคงยึดมั่นในการมอบความสนุก ความสดใหม่ เป็นผู้เซ็ตเทรนด์ความสวยก่อนใครให้กับลูกค้า การฟังเสียงลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่สูญเสีย Identity ของแบรนด์ไป คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ La Glace ยังคงครองใจลูกค้าเดิม และสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่ง