“AI กับผลกระทบต่อธุรกิจไทย” สรุปประเด็นเสวนาจากงาน CTC 2025
อย่าใช้ AI เพราะกลัวตกเทรนด์ แต่จงใช้มันเพราะคุณเข้าใจว่า "ปัญหา" ของคุณคืออะไร เป็นการสรุปแนวคิดหลักจากเวทีเสวนา "From AI to Business Impact" ณ งาน CREATIVE TALK CONFERENCE 2025 ที่เน้นย้ำว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรไม่ควรทำเพียงเพราะกระแสหรือความกลัวว่าจะล้าหลัง แต่ต้องเริ่มจากความเข้าใจปัญหาและความต้องการของธุรกิจอย่างแท้จริง เพื่อให้การใช้เทคโนโลยีเกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืน
สรุปประเด็นเสวนา "AI กับผลกระทบต่อธุรกิจไทย" หรือ "From AI to Business Impact" ณ งาน CREATIVE TALK CONFERENCE 2025 ที่ Bhiraj Hall, BITEC บางนา
1. ภาพรวมอุตสาหกรรม AI ในประเทศไทย
อุตสาหกรรม AI ของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการมาถึงของ Generative AI อย่าง ChatGPT, Midjourney และ Claude
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยที่พัฒนาเทคโนโลยี AI โดยตรงประมาณ 200-300 ราย ซึ่งครอบคลุมหลากหลายภาคธุรกิจ
มูลค่าตลาด AI ไทยในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะ ทะลุแสนล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า หากสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. บทบาทสำคัญของผู้ประกอบการในยุค AI
ผู้ดำเนินรายการตั้งคำถามว่า “ถ้าฉันไม่ใช่นักพัฒนา ฉันยังมีที่ยืนในโลก AI หรือไม่?”
คำตอบคือ “มีแน่นอน” เพราะผู้ประกอบการสามารถอยู่ในบทบาทสำคัญได้ 2 แบบ:
ผู้สร้าง (Creator): นักพัฒนา AI ที่ออกแบบโมเดลหรือบริการใหม่ๆ เช่น ระบบ OCR, Chatbot, ระบบแนะนำสินค้า
ผู้ใช้ (User): เจ้าของธุรกิจหรือทีมงานที่นำ AI มาใช้เสริมประสิทธิภาพ เช่น การทำคอนเทนต์, วิเคราะห์ลูกค้า, ตอบแชต, หรือบริหารคลังสินค้า
3. อย่าใช้ AI แค่เพราะกลัวตกเทรนด์
"การใช้ AI โดยไม่มีแผนหรือเป้าหมาย จะทำให้เสียทั้งเวลาและต้นทุน"
แนวคิดสำคัญคือ “AI ไม่ใช่เวทมนตร์” ที่จะแก้ปัญหาให้หมดในทันที ผู้ประกอบการควรเริ่มจากการตั้งคำถาม:
ปัญหาที่ธุรกิจเจอคืออะไร?
ลูกค้าของของธุรกิจต้องการอะไรที่ AI สามารถช่วยได้?
ถ้าลงทุนใน AI แล้ว จะวัดผลได้อย่างไร?
4. แนวทางการใช้ AI ในองค์กรอย่างเป็นระบบ
ผศ.ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย (AIEAT) เสนอแนวทางที่น่าสนใจว่า การนำ AI มาใช้ให้ได้ผลลัพธ์ ต้องคำนึงถึง 3 ระดับ:
เริ่มจากบุคลากร (People)
พนักงานควรเรียนรู้และทดลองใช้ AI ด้วยตัวเองก่อน เช่น ChatGPT, Copilot, Notion AI
ให้ความรู้เบื้องต้นเรื่อง Prompting, การตั้งคำถาม, และการตรวจสอบข้อมูล
บูรณาการกับกระบวนการ (Process)
ต้องนำ AI มาช่วยเสริมขั้นตอนที่ทำซ้ำได้ เช่น การสรุปรายงาน, การตอบอีเมล, หรือการจัดการข้อมูล
ควรกำหนดมาตรฐานหรือ SOP เพื่อให้ทีมใช้ AI อย่างมีทิศทางเดียวกัน
นำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ (Product)
เมื่อมีความเข้าใจมากพอ องค์กรสามารถใช้ AI สร้างสิ่งใหม่ เช่น Chatbot บริการลูกค้า, การตลาดแบบอัตโนมัติ, หรือระบบวิเคราะห์แนวโน้มตลาด
5. Framework การวางกลยุทธ์ AI สำหรับองค์กรไทย
คุณโชค วิศวโยธิน (The Magic Wand AI) แนะนำ AI Business Framework ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นคิดอย่างมีระบบ:
1. Vision & Impact
ทำ AI ไปเพื่ออะไร? จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตหรือเพิ่มรายได้เท่าไร?
เน้น "ประโยชน์ที่จับต้องได้" เช่น ลดต้นทุน, เพิ่มยอดขาย, หรือทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น
2. Capability & Process
ทีมมีความสามารถอะไรอยู่แล้ว? ระบบข้อมูลเพียงพอไหม?
AI ไม่ใช่สารวัตรใหญ่ ต้องมีข้อมูลที่ “พร้อมใช้” และกระบวนการที่ “สามารถทำซ้ำ” ได้
3. Action & Ownership
ใครจะเป็นคนลงมือ? มีคนรับผิดชอบชัดเจนหรือไม่?
การนำ AI มาใช้ต้องกำหนด “เจ้าภาพ” ที่มีทั้งอำนาจและความเข้าใจในทั้งเทคโนโลยีและเป้าหมายทางธุรกิจ
6. แนวคิด “AI ทีมชาติ” และการมุ่งสู่ตลาดโลก
ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม (ZTRUS) เสนอให้ผู้พัฒนา AI ไทยร่วมมือกันเป็น “AI ทีมชาติ” เพื่อสร้างมาตรฐาน เทคโนโลยี และแบรนด์ของไทย
ไม่ควรจำกัดตัวเองแค่ตลาดในประเทศ แต่ควรคิดแบบ Global-first และหาทางเจาะตลาดต่างประเทศ
7. ข้อควรระวัง AI ไม่ใช่ทางลัดของทุกธุรกิจ
บางธุรกิจอาจยังไม่จำเป็นต้องใช้ AI ทันที เช่น ธุรกิจที่ไม่มีข้อมูลดิจิทัล หรือยังไม่มีปัญหาที่ต้องการแก้ไขด้วยเทคโนโลยี
คำถามสำคัญที่สุดคือ “ตลาดต้องการสิ่งนี้จริงหรือไม่?”
ถ้าไม่มีความต้องการใหม่ในตลาด ต่อให้ใช้ AI ก็อาจไม่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้
AI คือโอกาส…แต่ต้องใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา
AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือล้ำยุค แต่คือ "เลนส์ใหม่" ที่ทำให้ธุรกิจเห็นปัญหาและโอกาสชัดเจนขึ้น
ธุรกิจไทยไม่จำเป็นต้องเป็น “ผู้ตาม” เสมอไป หากสามารถใช้ AI อย่างเข้าใจและสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดโลก
คำถามที่ผู้ประกอบการควรถามเสมอคือ: “AI ทำให้ฉันเข้าใจลูกค้ามากขึ้นไหม? ช่วยให้ฉันทำสิ่งเดิมได้ดีขึ้นไหม? และ AI ช่วยให้ฉันทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำได้ไหม?”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง