มาสด้า ต่อ ‘จิ๊กซอว์’ สำคัญ กลับมาเพอร์ฟอร์มอีกครั้ง
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากในอุตสาหกรรมยานยนต์และกระแสความเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป มาสด้า ยอมรับว่า การปรับตัวจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้หลาย ๆ อย่างนั้นส่งผลกระทบต่อยอดขาย และปัจจัยสำคัญ คือ มาสด้าไม่มีรถยนต์พลังงานทางเลือก
“ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์” ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท มาสด้าเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแนวทางการขับเคลื่อนมาสด้าให้กลับขึ้นมาเพอร์ฟอร์มอีกครั้ง
แม้จะยืนอยู่บนรอยต่อของการเปลี่ยนผ่าน แต่มาสด้ายังยืนยันที่จะรักษา “อัตลักษณ์” ของตัวเอง เร่งสปีด ปรับตัวท่ามกลางพายุที่ถาโถม “รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE ของมาสด้ายังมีอยู่ และคนไทยเข้าใจจุดขาย และข้อดีของเรา” นี่คือคำตอบที่แสดงจุดยืนในอนาคต
แผนงานชัดเจน-ปรับตัวเร็วขึ้น
บริษัทแม่ ประกาศแผน 3 เฟส “2030 Management Policy” เดินหน้าขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่ง เฟสแรก (2022-2024) จบลงไปแล้ว คือ การเตรียมความพร้อมด้านการลงทุน การพัฒนา และทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่ยุค EV
ส่วนวันนี้ ใน เฟสที่สอง (2025-2027) คือ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการที่ดีขึ้น ทั้งการพัฒนา, จัดซื้อแบตเตอรี่ สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ เฟสที่สาม คือ มาสด้าก้าวเข้าสู่ยุค EV อย่างเต็มรูปแบบ
เฟสสอง ช่วงรอยต่อนี้ เราต้องเผชิญกับปัจจัยนอกเหนือการควบคุม ทั้งภาวะเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ส่งผลให้ต้นทุนต่าง ๆ ทะยานตัวสูงขึ้น สถานการณ์การเมือง ปัญหาจีโอโพลิติก และหลายปัจจัยที่เป็นอุปสรรค
แน่นอนว่า มาสด้ามีความชัดเจน ภายใต้นโยบาย Multisolution จะไม่ได้มุ่งเน้นแค่การพัฒนารถยนต์ EV เพียงอย่างเดียว แต่เน้นพลังงานที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งเครื่องยนต์สันดาป (ICE), ไฮบริด (HRV), ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) และแบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) โดยคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ แบรนด์ “Joy of Driving” และงานคุณภาพงานฝีมือในแบบฉบับญี่ปุ่น ยังต้องยังอยู่
แนวคิด “Monozukuri 2.0” ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการออกแบบ ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล AI และ Model-Based Development (MB) มาช่วยในการพัฒนารถยนต์ และยังช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้นถึง 3 เท่า และมีความ “ยืดหยุ่น” ในการดำเนินงาน
ทุกด้าน
มาสด้าไทย ปรับตัวสู้ทุกเม็ด
เรามีแผนงานที่ชัดเจนว่า ใน 3 ปีจากนี้ จะมีรถยนต์เปิดตัวทั้งหมด 5 รุ่น ระหว่างทางเราได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ และตอกย้ำว่า ความเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ดูแลลูกค้าแบบคนญี่ปุ่น สิ่งสำคัญคือการเดินหน้ารักษาฐานลูกค้า มาสด้า แฟมิลี่ ให้กลับมาซื้อซ้ำ ซื้อเพิ่ม รวมทั้งรับบริการหลังการขาย เมื่อมีรุ่นใหม่เข้ามา เขาก็อยากใช้เรา
พยายามเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งหลังบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การบริการหลังการขาย การปรับราคาอะไหล่ให้สามารถแข่งขันได้ ค่าแรงมาตรฐานของกรุงเทพฯ 680 บาท และต่างจังหวัด 600 บาท
มี Virtual Showroom และแอปพลิเคชั่น Sky Journey เพื่อให้ลูกค้าสามารถนัดหมายบริการออนไลน์, โปรแกรม Mazda Warranty Plus ขยายความคุ้มครองเป็น 5 ปี ในการเตรียมความพร้อมของอะไหล่ (Part Fill Rate) สูงถึง 97% ลูกค้าในกรุงเทพฯส่งถึงในวันถัดไป และต่างจังหวัดภายใน 48 ชั่วโมง
รื้อ-เร่ง พัฒนาเครือข่าย
ในส่วนของเครือข่ายการจัดจำหน่าย ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการ 85 แห่ง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 19 แห่ง ต่างจังหวัด 66 แห่ง เรามั่นใจว่าสามารถตอบสนองและรองรับการบริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี และเพียงพอมีขีดความสามารถที่ 437,580 ครั้งต่อปี แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 191,930 ครั้ง และต่างจังหวัด 245,650 ครั้ง
ยังมีโมบายเซอร์วิสให้บริการลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ การช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ห่างไกล มอบคูปองน้ำมัน 500 บาท สำหรับลูกค้ามารับบริการ ในระยะทางไป-กลับไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตรด้วย
มาสด้าต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงรอบด้าน อนาคตก็ยังมีโอกาสในการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการ แต่นโยบายสำคัญที่เรามุ่งเน้น คือ “ให้สิทธิตัวแทนจำหน่ายมีอุดมการณ์เดียวกับเรา หรือผู้จำหน่ายรายเดิม” มีสิทธิลงทุนขยายธุรกิจก่อนในพื้นที่การให้บริการ
ชูความคุ้มค่า สู้อีวี
ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ค่อนข้างยาก มาสด้าปรับตัวอย่างชัดเจน โดยชู “ความคุ้มค่าของตัวรถเครื่องยนต์สันดาป” ด้วยกลยุทธ์ “Essential Series”
ระหว่างรอโปรดักต์ใหม่ปรับไลน์อัพรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ให้น่าสนใจและสามารถแข่งขันได้ ภายใต้แนวคิด “Essential Series” กับรถยนต์ในตระกูลซีเอ็กซ์ และมาสด้า 2 ด้วยการเพิ่มรุ่นพิเศษ เน้นให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยปรับราคาลง เพิ่มความคุ้มค่าด้วยการจัดอุปกรณ์ใหม่ให้เหมาะสมในแต่ละรุ่นย่อย และในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ ก็จะส่งรถ MAZDA CX-30 Essential สู่ตลาด
ขณะที่รถปิกอัพ เราก็ยังทำตลาด BT-50 ต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการในต่างจังหวัด
ส่ง 5 รุ่นใหม่ ใน 3 ปี
ตามแผนงานที่ประกาศไว้ สำหรับประเทศไทย มาสด้าจะส่งรถยนต์รุ่นใหม่ 5 รุ่น ทำตลาดภายในระยะเวลา 3 ปี (2568-2570) มีพลังงานทางเลือกหลากหลาย ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า 100% คือ Mazda 6E (EZ6) ที่พัฒนาร่วมกับฉางอาน ซึ่งเป็นรถราคามากกว่า 1 ล้านบาท และนำเข้าจากจีน จะเปิดตัวปลายปีนี้
ในปีถัดไป 2569 กับรถยนต์เอสยูวี ครอสโอเวอร์ ไฟฟ้ารุ่นใหม่ (EV) และรถเอสยูวี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ตามมาด้วยรถครอสโอเวอร์ไฮบริด (HEV) อีก 2 รุ่น ในปี 2570 และ 2571
มาสด้ายังมุ่งมั่นพัฒนาให้เป็นเครื่องยนต์ในอุดมคติ ด้วยระบบ In-house Hybrid System มีทั้งเครื่องยนต์ Skyactiv-G และ Skyactiv-C (หรือ Skyactiv-Z) ที่เน้นประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานสูงสุด
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแพลตฟอร์ม EV นั้น มาสด้าพัฒนาเองทั้งหมด เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรองรับขนาดรถยนต์ได้หลากหลาย และสามารถอัพเกรดแบตเตอรี่ได้ทุกรูปแบบในอนาคต
กอดยอดขายเท่าปีก่อน
เป้ายอดขายปีนี้ คือ 9,000 คัน ลดลงจากปีที่แล้วเล็กน้อย แม้ว่าใน 6 เดือนขายลดลงกว่า 27% แต่เชื่อว่าเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ยอดขายรถยนต์โดยรวมยังทรงตัว และน่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนเช่นเดียวกัน
สุดท้าย “ธีร์” ยังเน้นย้ำว่า การที่ตนเองเป็น “ลูกหม้อ” ของมาสด้า รู้จักจุดอ่อน-จุดแข็งของแบรนด์ ทั้งยังมีความเข้าใจว่าทำไมแบรนด์ มาสด้า มีทิศทางของตนเองอย่างชัดเจน ทั้งสินค้า การดูแล บริการลูกค้า เทคโนโลยี อดีตจากยอดขายสูงสุดที่ทำได้ 70,000 คันต่อปี ต้องยอมรับว่าบริบทแวดล้อม ปัจจัยทุกอย่างเปลี่ยนไป
แต่สิ่งที่เหมือนเดิม และยิ่งทวีความเข้มข้น คือ ทิศทางที่มาสด้าจะเดินไป ทุกอย่างถูกกำหนดไว้อย่างดี และพร้อมขับเคลื่อนไปทั้งองคาพยพ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : มาสด้า ต่อ ‘จิ๊กซอว์’ สำคัญ กลับมาเพอร์ฟอร์มอีกครั้ง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net