“ท๊อป จิรายุส” ย้ำ AI หุ่นยนต์ มาแน่ เตรียมรับมืออินเดียเป็นโรงงานโลกแห่งใหม่แทนจีน !?
ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้เข้าร่วมเวทีการประชุม Annual Meeting of the New Champions 2025 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Summer Davos 2025 ของ World Economic Forum และสรุป 5 ประเด็นสำคัญ ที่เจ้าตัวเชื่อว่าคนไทยจำเป็นต้องรู้
5 ประเด็นเศรษฐกิจโลกจากเวทีประชุมผู้นำ Summer Davos 2025
1. จุดสิ้นสุดยุค Post-war Order สู่โลกใบใหม่
ท๊อป จิรายุส ให้ข้อมูลโลกในปัจจุบันเป็นยุคที่เรียกว่า Post-war Order หรือ “การจัดระเบียบโลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2” และลักษณะ 5 อย่าง ได้แก่
- สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจเดียว (Unilateral System) ที่ส่งเสริมโอกาสให้ประเทศอื่น ๆ เติบโตได้ในด้านเศรษฐกิจและส่งผลให้เกิดโลกาภิวัฒน์ (Globalization)
- ความเชื่อมั่นในการค้าเสรีระหว่างประเทศต่าง ๆ สะท้อนจากการมีอยู่ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) หรือการทำข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreements: FTAs)
- สาธารณรัฐประชาชนจีนเปรียบเสมือนโรงงานของโลกที่สามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณที่เยอะและต้นทุนต่ำ
- สาธารณรัฐประชาชนจีนมีประชากรมากที่สุดในโลก
- ความเชื่อมั่นในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก (World Bank) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF)
อย่างไรก็ตาม โลกกำลังเข้าสู่ยุค "Pre-something World" ที่ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าจะแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ประเทศมหาอำนาจจะไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย เป็นระบบ 3 มหาอำนาจ (Multilateral System)
2. Globalization สู่ Regionalization การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่
ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากนโยบายการตั้งกำแพงภาษี (Tariff) ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ประเทศขนาดเล็กต้องรวมกลุ่มกันเพื่อความอยู่รอดในการสร้างอำนาจต่อรองกับมหาอำนาจ เช่น กรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน หรือ "DEFA" (Digital Economy Framework Agreement) ที่เป็นตัวอย่างของการรวมกลุ่มกันในระดับภูมิภาค (Regionalization) และเมื่อโลกเกิด Regionalization มากขึ้น จะส่งผลให้การค้าแตกเป็นส่วนแยกย่อยมากขึ้น
3. อินเดียจะขึ้นแท่นโรงงานแห่งใหม่ของโลก
ประเทศอินเดียและทวีปแอฟริกา เป็นไม่กี่พื้นที่ในโลกซึ่งไม่ได้มีปัญหาตราการเกิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ฐานการผลิตสินค้าที่เน้นจำนวนเยอะและต้นทุนต่ำจะค่อย ๆ ย้ายไปอยู่ที่อินเดียและทวีปแอฟริกา ซึ่งจากเดิมที่จีนเป็นฐานการผลิตที่เน้นปริมาณมากจะผันตัวสู่การเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรม (Leader in Innovation) ในขณะเดียวกันก็สามารถคงอัตราการผลิตทั้งในด้านปริมาณและต้นทุนไว้ได้เหมือนเดิม
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ตำแหน่งศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทาน (Centralized Supply Chains) หลุดไปเช่นเดียวกัน และสะท้อนให้เห็นได้จากอัตราการค้าระดับโลก (Global Trade) ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงอัตราการค้าโดยตรง (Direct Trade) ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งสองประเทศยังคงพึ่งพากันผ่านการค้าทางอ้อม (Indirect Trade) ผ่านประเทศตัวกลาง และจีนเลือกที่จะลงทุนในแถบลาตินอเมริกาและอาเซียนมากขึ้น
สองผลกระทบที่เกิดจากการไม่ไว้วางใจกันของจีนและสหรัฐอเมริกา จะส่งผลให้หลายประเทศเพิ่มจำนวนคู่ค้ามากขึ้น ไม่ได้ตั้งโรงงานหรือฐานการผลิตแค่เฉพาะประเทศจีนหรือสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป เพื่อกระจายความเสี่ยง และอาเซียนจะได้รับความสนใจจากหลายประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ เส้นทางการค้าเริ่มมีการแตกกระจายเป็นห่วงโซ่อุปทานเล็ก ๆ ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านซึ่งจะนำไปสู่ Regionalization ในที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของประเทศมหาอำนาจ
4. การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Revolution)
ท๊อป จิรายุส มองว่า ตัวแปรสำคัญในการเร่งให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 คือ การมาของ AI และหุ่นยนต์ (Robotics) ซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน โครงสร้างทางธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ได้ในระดับมหภาค นำไปสู่การเป็น Smart Manufacturing หรือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ในกระบวนการผลิตและการทำงาน
ในส่วนของด้านแรงงานทั่วโลกจะเกิดภาวะ Reshoring หรือภาวะที่แต่ละประเทศเรียกแรงงานและฐานการผลิตกลับมาสู่ประเทศของตนเอง อันเนื่องมาจากการไม่ไว้วางใจกันระหว่างประเทศ ทำให้เกิดความต้องการแรงงานที่มีทักษะฝีมือเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้ต้องหันมาพึ่งแรงงานจากประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะอินเดียที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวและมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสูง อินเดียจึงอาจกลายเป็นข้อต่อสำคัญของเกือบทุกประเทศในอนาคต แล้วเมื่อทุกประเทศหันมาผลิตเองก็จะไม่สามารถคุมต้นทุนจาก Economy of Scales ได้ ทำให้ต้นทุนจะต้องสูงขึ้น และจะเกิดการเพิ่มเงินเดือนเพื่อดึงตัวแรงงานที่มีความสามารถ (Talent) อีกด้วย
5. นโยบาย AI Plus ของจีน ติดปีกการแข่งขัน
ในเวทีการประชุมผู้นำโลกครั้งนี้ หลี่ เฉียง (Li Qiang) นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ออกมาประกาศถึงนโยบายสำคัญที่จะนำ AI มาใช้งานแบบครบทั้ง 3 มิติ ในชื่อว่า “AI Plus” ดังนี้
- Open Source AI โดยมี DeepSeek เปิดให้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศสามารถใช้งานได้
- AI Could จาก Huawei ที่เป็นบริษัทภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีน รับหน้าที่ในการสร้าง Cloud
- Data ที่รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสามารถเข้าถึงข้อมูลและนำไปใช้งานได้
ถ้าหากทั้ง 3 มิตินี้ สามารถใช้งานร่วมกันได้ จะทำให้ทุกอุตสาหกรรมในจีนขับเคลื่อนด้วย AI ส่งผลให้ Productivity ของจีนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ลดการใช้แรงงานของคนและหันมาใช้หุ่นยนต์แทนในที่สุด
ดังนั้น การมาของนโยบายนี้จะส่งผลให้ธุรกิจของจีนมีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงมาก ซึ่งหน่วยงานภาครัฐของไทยและผู้ประกอบการชาวไทยควรรีบปรับตัวนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ปรับตัวให้เท่าทันสถานการณ์อย่างเร่งด่วน
ทั้งนี้ ท๊อป จิรายุส เชื่อว่า 5 ประเด็นสำคัญจาก Summer Davos 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 24-26 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่คนไทยจำเป็นต้องรู้และเข้าใจ เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ การทำธุรกิจ และการลงทุนของภาคธุรกิจไทยในอนาคตืั้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมและปรับตัวตามทิศทางโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะช่วยให้คนไทยไม่ตกขบวนและสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- อัพเดท “ภาษีทรัมป์” ชาติเอเชีย ไทยเจอภาษีสูงสุดอันดับ 2
- อเมริกากลับสู่ความร่ำรวย ? "ภาษีทรัมป์" เริ่มเห็นผล รัฐบาลโกยรายได้ทะลุแสนล้านเหรียญ
- ทรัมป์เผยเจรจาการค้ากับอินเดียใกล้สำเร็จแล้ว
- สหพันธ์นักบินอินเดียประณาม "วอลล์ สตรีท เจอร์นัล” กล่าวหากัปตันแอร์ อินเดีย ปิดสวิตซ์เชื้อเพลิง
- นาวิกอเมริกาซื้อกล้องเล็งปืนพลัง AI ของอิสราเอล ช่วยหา-เล็ง-ล็อกเป้า ได้ทั้งคนทั้งโดรน !