'ธนาธร' ชู 3 เมกะโปรเจกต์ ลงทุนรวม 6.8 แสนล้าน สร้างอนาคตประเทศ
วันนี้ (18 ก.ค.) ในงาน “55 ปี NATION :ผ่าทางตันประเทศไทย กับ 3 ผู้นำทางความคิด : Chapter 2 ผ่าทางตันกับ 3 บก. โดยแขกรับเชิญได้แก่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ณ ห้องพญาไท 4 ชั้น 6 โรงแรมอีสติน แกรนด์พญาไท กทม.
ดำเนินรายการโดย 3 บก.สมชาย มีเสน รองประธานกรรมการ บริษัทเนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), บากบั่น บุญเลิศ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทเนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), และประธานกรรมการ บริษัทฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด,วีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น
นายธนาธรกล่าวตอนหนึ่งว่าจากการเดินทางไปทั่วประเทศมองเห็นสิ่งที่จะทำเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ว่าประเทศไทยต้องมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับโครงการที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ซึ่งมีตัวอย่างโครงการทั้งหมด 3 โครงการ ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 6.8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดสรรงบประมาณในสิ่งที่จำเป็นโดยมีรายละเอียดโครงการต่างๆดังนี้
1.การลงทุนในเรื่องโรงงานกำจัดขยะที่ได้มาตรฐานในประเทศไทย ซึ่งเรื่องการจัดการขยะเป็นเรื่องสำคัญในประเทศไทย เนื่องจากในปัจจุบันมีโรงงานขยะจำนวนมาก แต่โรงงานขยะที่ได้มาตรฐานนั้นมีจำนวนน้อย และโรงงานขยะที่ได้มาตรฐาน และเผาขยะที่ดีที่สุดในประเทศที่มีอยู่ในขณะนี้ใช้อุปกรณ์ และเทคโนโลยี จากต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีเทคโนโลยีจากประเทศไทยเป็นส่วนประกอบเลย
ในเรื่องนี้หากได้เป็นรัฐบาลวางแผนว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาทในระยะเวลา 8 ปี หรือเท่ากับการเป็นรัฐบาล 2 สมัย โดยเฉลี่ยใช้งบประมาณปีละประมาณ 1 หมื่นกว่าล้านบาท จะทำโรงงานที่ได้มาตรฐานในประเทศ และแก้ปัญหาขยะให้หมดภายใน 8 ปี รวมทั้งสร้างเทคโนโลยีให้กับคนไทย
2.การลงทุนเพื่อสร้างระบบน้ำประปาดื่มได้ ใช้วงเงินงบประมาณรวม 8 หมื่นล้านบาท โดยใช้ระยะเวลา 8 ปี เฉลี่ยลงทุนปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อทำให้น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ
และ 3.โครงการสมาร์ทกริดหรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นมากในการรับมือกับภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งประเทศไทยต้องมีการปรับระบบการผลิต และการจำหน่ายไฟฟ้าโดยปรับกริดของประเทศ ซึ่งต้องทำให้มีความสมาร์ทมากขึ้นเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ทั้งรับ และส่งไฟฟ้าได้ เพราะในครัวเรือนจะทำหน้าที่ทั้งขายและใช้ไฟฟ้า
นายธนาธรระบุว่าเฉพาะสมาร์ทกริดอย่างเดียวจะมีการลงทุนในประเทศไทยทั้งหมดกว่า 5 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 12 – 20 ปี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะมีส่วนประกอบทั้งสมาร์ทมิเตอร์ วงจรอินเวอร์เตอร์ ระบบกักเก็บแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System) หากประเทศไทยไม่มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของเทคโนโลยีและการผลิตเหล่านี้ด้วยตัวเองก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด
โดยการคิดในเรื่องนี้ต้องเริ่มจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการให้งบประมาณในการวิจัยว่ามหาวิทยาลัยไหนจะทำการวิจัยในเรื่องอะไร เช่น สมาร์ทมิเตอร์ อินเวอร์เตอร์ ไปสู่กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษา เพื่อสร้างแรงงานในระบบมาตอบสนองทั้งในวันนี้และในอนาคต
จากนั้นจะไปสู่การทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ต้องมาดูว่าจะส่งเสริมการลงทุนอย่างไร ส่วนการนำเข้าบางส่วนที่จำเป็นก็ต้องมาดูเรื่องของการกำหนดอัตราภาษี
“เมกะโปรเจ็กต์แบบนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต ยังช่วยจ้างงาน สร้างเทคโนโลยีในประเทศ การลงทุนเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศมาก และจะทำให้เกิดการลงทุนจริง เพราะมีความแน่นอนของตลาดในอนาคต ไม่ใช่นำเข้ามาแล้วเอามาขายให้รัฐบาลอย่างเดียว แต่รัฐบาลบอกดีมานต์ว่าจะซื้อจากโครงการลงทุนที่จะเกิดขึ้นโดยเน้นการผลิตในประเทศ ใครอยากมาลงทุนในประเทศไทยเราก็จะอำนวยความสะดวกให้แข่งขันทั้งปริมาณและคุณภาพ ถ้าทำได้ก็เอาออเดอร์จากภาครัฐไป”นายธนาธร กล่าว