ประวัติศาสตร์ BlackBerry : มือถือมีแทร็กบอล และ การแลกพิน ที่เคยฮิตมากๆ
ในยุคหนึ่งที่เสียงแจ้งเตือนและแสงไฟ LED สีแดงกะพริบบนอุปกรณ์พกพาสามารถบ่งบอกสถานะทางสังคมและธุรกิจได้ ชื่อของ "BlackBerry" คือสัญลักษณ์แห่งอำนาจ การเชื่อมต่อ และประสิทธิภาพ มันคือเครื่องมือคู่กายของผู้นำองค์กร, นักการเมืองระดับโลก ไปจนถึงดาราฮอลลีวูด แต่เรื่องราวของแบรนด์ที่เคยครองโลกนี้ คือเรื่องราวแห่งการบุกเบิก, ความรุ่งเรืองเต็มกราฟความสำเร็จ, การตัดสินใจที่ผิดพลาด และการลุกขึ้นสู้ครั้งใหม่ในสมรภูมิที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
จุดเริ่มต้นแห่งยุคใหม่: จาก RIM สู่ BlackBerry
เรื่องราวจุดเริ่มต้น ประวัติ BlackBerry ต้องย้อนกลับไปในปี 1984 ณ เมืองวอเตอร์ลู ประเทศแคนาดา เมื่อสองวิศวกรหนุ่มนามว่า ไมค์ ลาซาริดิส (Mike Lazaridis) และ ดักลาส แฟรกกิน (Douglas Fregin) ได้ก่อตั้งบริษัท Research In Motion (RIM) ขึ้น พวกเขามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการพัฒนาระบบสื่อสารข้อมูลไร้สาย
ในช่วงแรก RIM ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ตลาดผู้บริโภค แต่กลับสร้างสรรค์เทคโนโลยีเครือข่ายข้อมูลไร้สายสำหรับองค์กรภาครัฐ เช่น ตำรวจและทหาร ซึ่งเป็นตลาดที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัยสูงสุด จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1996 เมื่อ RIM เปิดตัว Inter@ctive 900 เพจเจอร์สองทางเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมแป้นพิมพ์ขนาดเล็ก ซึ่งปฏิวัติวงการด้วยการอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถพิมพ์ข้อความตอบกลับได้ทันที
อย่างไรก็ตาม โลกได้รู้จักกับ"BlackBerry" อย่างแท้จริงในปี 2002 กับการมาถึงของ BlackBerry 6710 โทรศัพท์มือถือที่รวมเอาความสามารถของเพจเจอร์, การรับส่งอีเมล และโทรศัพท์เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมด้วยแป้นพิมพ์ QWERTY อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้กลายมาเป็นลายเซ็นของแบรนด์ในทศวรรษต่อมา
ยุคทองของ 'CrackBerry': เมื่อโลกทั้งใบอยู่ในมือทุกคน
ช่วงทศวรรษ 2000 คือยุคทองของ BlackBerry อย่างไม่มีข้อกังขา ความสามารถในการรับส่งอีเมลได้ทันทีทุกที่ทุกเวลา (Push Email) กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับโลกธุรกิจ จนผู้คนขนานนามอุปกรณ์นี้ด้วยความรักว่า "CrackBerry" สะท้อนถึงการเสพติดที่จะต้องหยิบมันขึ้นมาเช็คข้อความอยู่ตลอดเวลา
อาวุธลับไพ่เด็ดที่ทำให้ BlackBerry เหนือกว่าคู่แข่งในยุคนั้นคือ BlackBerry Messenger (BBM) (หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า "แลก Pin) บริการแชทส่วนตัวที่มาพร้อมฟีเจอร์ยืนยันการอ่านข้อความ (Read Receipts) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มาก่อนกาล และสร้างวัฒนธรรมการแชทที่เหนียวแน่นในกลุ่มผู้ใช้งาน
ความสำเร็จของ RIM พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด ในปี 2009 นิตยสาร Fortune จัดอันดับให้ RIM เป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับ 1 และในปี 2010 รายงานจาก Comscore ระบุว่า BlackBerry ครองส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 37.3% โดยมีฐานผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 85 ล้านคนในปี 2011 แม้กระทั่งประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา ก็ยังคงยืนยันที่จะใช้ BlackBerry ต่อไปหลังเข้ารับตำแหน่ง ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยที่เหนือชั้น
รุ่นยอดนิยมอย่าง BlackBerry Pearl, Curve และ Bold กลายเป็นสินค้ายอดฮิตที่พบเห็นได้ทั่วไป ตั้งแต่ห้องประชุมคณะกรรมการไปจนถึงร้านกาแฟ
จุดเปลี่ยนและการล่มสลาย: วันเวลาที่พลาดก้าว
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา การเปิดตัว iPhone ของ Apple ในปี 2007 คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ ในตอนแรก ผู้บริหารของ RIM มองว่า iPhone เป็นเพียงของเล่นสำหรับตลาดวัยรุ่นที่ไม่มีแป้นพิมพ์จริง และขาดระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งพอสำหรับลูกค้าองค์กร ซึ่งนับเป็นการประเมินคู่แข่งที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี
ขณะที่Apple และ Google สร้างระบบนิเวศของแอปฯที่ดึงดูดนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปได้อย่างมหาศาล ระบบปฏิบัติการของ BlackBerry กลับเริ่มล้าหลังและขาดแคลนแอปพลิเคชันที่หลากหลาย ปัญหาเครื่องทำงานช้าและค้างบ่อยครั้ง ยิ่งผลักไสให้ลูกค้าหนีไปหาคู่แข่ง
การมาถึงของแอปพลิเคชันแชทอย่าง WhatsApp ที่สามารถใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้ฟรี ยังทำลายจุดแข็งสุดท้ายของ BBM ลงอย่างราบคาบ ความพยายามแก้เกมด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนจอสัมผัสอย่าง BlackBerry Storm ในปี 2008 หรือการยกเครื่องครั้งใหญ่อย่าง BlackBerry 10 ในปี 2013 ก็สายเกินไปและไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้
ตัวเลขสะท้อนความจริงอันโหดร้าย จากที่เคยเป็นราชา ส่วนแบ่งตลาดของ BlackBerry ลดลงเหลือเพียง 0.2% ในปลายปี 2015 ราคาหุ้นที่เคยพุ่งสูงถึง 147 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2008 กลับร่วงลงอย่างน่าใจหาย
บทใหม่: การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจซอฟต์แวร์และความปลอดภัย
ในที่สุด ปี 2016 BlackBerry ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ในตลาดโทรศัพท์มือถือและประกาศการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์: ยุติการผลิตฮาร์ดแวร์ และเปลี่ยนทิศทางบริษัทไปสู่การเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และบริการด้านความปลอดภัยอย่างเต็มตัว (บริษัทได้เปลี่ยนชื่อจาก RIM เป็น BlackBerry อย่างเป็นทางการในปี 2013)
ปัจจุบัน BlackBerry สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ในฐานะผู้เล่นคนสำคัญในสองธุรกิจหลัก: ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) และ Internet of Things (IoT) โดยมีผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง Cylance ซึ่งใช้ AI ในการตรวจจับภัยคุกคาม และ BlackBerry QNX ระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์ฝังตัวที่มีความปลอดภัยสูง ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและรถยนต์ไร้คนขับ
แม้รายรับในปีงบประมาณ 2024 ที่ 853 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะยังห่างไกลจากยุคที่รุ่งเรืองที่สุด แต่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของรายได้จากธุรกิจ IoT แสดงให้เห็นว่าการเดิมพันครั้งใหม่นี้กำลังเริ่มผลิดอกออกผล
เรื่องราวของ BlackBerry คือบทเรียนอันทรงคุณค่า มันคือการเดินทางจากจุดสูงสุดคืนสู่สามัญ และการพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะล้มจากบัลลังก์ที่เคยครอบครอง แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง การปรับตัวอย่างกล้าหาญ ก็สามารถสร้างอาณาจักรแห่งใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้งบนซากปรักหักพังของความสำเร็จในอดีต.