‘โรม’ ซัดรัฐบาลใจแคบ หลังร่างนิรโทษกรรมภาคประชาชนโดนตีตก
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 ก.ค. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสัมภาษณ์ถึงการที่สภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา มีมติเสียงส่วนใหญ่ให้ตีตกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ของพรรคประชาชน และภาคประชาชน ในฐานะที่เป็นกรรมาธิการจะผลักดันเรื่องนี้ต่ออย่างไร ว่า พูดอย่างตรงไปตรงมา ตนรู้สึกผิดหวัง ที่เราได้เห็นกันว่าเป็นการนิรโทษกรรมที่เลือกปฏิบัติ หากพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมของภาคประชาชนให้ดี ก็จะพบว่าเราเปิดประตูให้กว้างที่สุด และพิจารณาว่ากรณีไหนจะได้หรือไม่ได้ ก็ต้องไปดูในรายละเอียดคดี อาจมีการออกแนวทางกำหนดเงื่อนไข หรือข้อแตกต่างบางประการบางเงื่อนไขที่ทำให้มันสามารถยอมรับได้มากขึ้น
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า นิรโทษกรรมที่พรรคประชาชนเสนอ ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองว่าในวันนั้น ความรู้สึกของสังคม และปัจจัยการเมืองจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยที่สุดจะไม่กีดกันใคร เรารู้ว่าแต่ละกรณีแต่ละคดีมีความยากง่ายไม่เหมือนกัน ซึ่งต้องอาศัยการพูดคุยทำความเข้าใจ รวมถึงข้อกำหนดเงื่อนไขบางประการซึ่งตรงนี้เราเข้าใจ แต่ด้วยความใจแคบของรัฐบาลและคิดแต่เพียงพวกพ้อง ไม่ได้สนใจที่จะทำให้เกิดการคลี่คลายปัญหา สุดท้ายมันทำให้นิรโทษกรรมทำได้อย่างจำกัด ส่วนจุดยืนของเรา เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปพิจารณาในกรรมาธิการ เราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด อย่างน้อยร่างหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ไม่ได้มีเขียนไว้ในหลักการว่าไม่ให้รวมถึงการนิรโทษกรรม คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องไปพูดคุยกัน และในแง่ของเนื้อหาต้องผลักดันกันต่อไป เรายอมรับว่าถ้ารัฐบาลยังแข็งอยู่เหมือนเดิม และชั้นของกรรมาธิการ ตนยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะผลักดันได้ แต่คิดว่าคงต้องทำให้เต็มที่
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดการพิจารณาในเรื่องนี้ต้องโปร่งใส ประชาชนทุกคนและครอบครัวคนที่เห็นต่างทางการเมืองที่ยังอยู่ในเรือนจำ ก็ควรมีสิทธิรู้ว่ากฎหมายนั้นมีความคืบหน้าเคลื่อนไหวอย่างไร และมีสิทธิรู้ว่าตัวแทนต่าง ๆ ที่มาเป็นกรรมาธิการ เป็น สส. หรือไม่เป็น มีความคิดอย่างไรและพูดอย่างไร เพราะกฎหมายฉบับนี้มีส่วนได้เสียต่อโชคชะตาต่อชีวิตของใครหลายคน ซึ่งเขามีความปรารถนาดีต่อประเทศ ดังนั้นหากไม่มีทิศทางที่ดีนักต่อครอบครัวหรือต่อประชาชน ตนคิดว่าเขาควรมีสิทธิรู้และตัดสินใจ
เมื่อถามอีกว่ากรณีพรรคเพื่อไทยเห็นชอบพรรคภูมิใจไทย นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าโหวตให้พรรคไหน เพราะร่างของพรรคภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน ดังนั้นไม่แปลกใจ แต่ประเด็นคือควรแปลกใจว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่พูดมาตลอดว่าเป็นตัวแทนของเสียงประชาธิปไตย และเป็นตัวแทนของคนที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และพรรคเพื่อไทย ควรทราบดีว่าคนที่เห็นต่างทางการเมือง ถูกกลั่นแกล้งทางกฎหมายขนาดไหน แม้กระทั่งคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีการดำเนินคดีกับผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจำนวนมาก แต่ทำไมพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะหันหลังให้ร่างของภาคประชาชน หรือของพรรคประชาชน
“ผมคิดว่าพรรคเพื่อไทยไม่ควรจะเรียกตัวเองว่าเป็นพรรคของฝ่ายประชาธิปไตยอีกแล้ว พรรคเพื่อไทยไม่ควรเรียกตัวเองว่าเป็นพรรคตัวแทนของการต่อสู้ของผู้เห็นต่างทางการเมืองอีกแล้ว เพราะคุณคือส่วนหนึ่งของการปล่อยให้คนที่เห็นต่างทางการเมืองติดคุกต่อไป โดยที่คุณไม่มีแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจในการรับผิดชอบ หรือใช้อำนาจแก้ปัญหาเรื่องนี้ คุณคือพรรคการเมืองที่ปราศจากซึ่งกระดูกสันหลังแห่งความกล้าหาญในการพาสังคมไทยฝ่าออกจากวิกฤติ”นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงพรรคเพื่อไทย ต้องขอแยกออกจาก สส.พรรคเพื่อไทย ทั้ง 6 คน ที่ลงมติเห็นชอบให้ร่างของภาคประชาชน และของพรรคก้าวไกล ส่วนตัวก็ขอขอบคุณทั้ง 6 คน ที่ได้ลงมติสนับสนุน อย่างน้อยที่สุดก็มีบางคน ที่เราพอจะยกมือไหว้ได้อย่างรู้สึกดี แต่ต้องยอมรับว่าความคาดหวังของตนเองไม่ใช่แค่ 6 คน แต่ความคาดหวังคือพรรคการเมือง อย่างเช่นเวลาประชาชนคาดหวังต่อพรรคของเรา คงไม่ได้คาดหวังเพียงตนเท่านั้น แต่หมายถึงภาพรวมทั้งหมด ชื่อพรรคประชาชน ซึ่งคล้าย ๆ กัน ขอขอบคุณทั้ง 6 คน แต่เสียดายที่พรรคเพื่อไทยมีพฤติกรรมแบบนี้ ซึ่งชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทย ก็มีอุดมการณ์ ความคิด ความเชื่อ ไม่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นอีกแล้ว ซึ่งก็ชัดเจนดี