‘เอทานอล’ ล้นตลาดพิษราคาตก วอนรัฐปลดล็อกขยายสู่อุตฯใหม่
สัมภาษณ์พิเศษ
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเอทานอลของไทยกลับเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง เมื่อความต้องการใช้ในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังการผลิตยังคงล้นตลาด ราคาตกต่ำ และการสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่ชัดเจน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนเพื่อความอยู่รอด
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายเจษฎา ว่องวัฒนะสิน นายกกิตติมศักดิ์สมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมเอทานอลในประเทศไทยที่เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด เมื่อความต้องการใช้ในประเทศกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง กำลังการผลิตที่ยังคงล้นตลาด ผลพวงจากราคาผลผลิตต้นทางที่ลดต่ำลง และการสนับสนุนจากภาครัฐที่ยังไม่มีความชัดเจน ขาดความต่อเนื่อง
“มัน-กากน้ำตาล” ล้น-ราคาตก
ตอนนี้ผู้ผลิตกำลังเผชิญกับภาวะล้นตลาดอย่างรุนแรง โดยกำลังการผลิตรวมในประเทศสูงถึง 7 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ปริมาณความต้องการใช้จริงอยู่เพียง 3 ล้านลิตรต่อวัน ส่งผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ทำให้ราคาขายปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ราคาขายเอทานอลในตลาดเดือนตุลาคม 2567 เคยสูงถึง 28.32 บาทต่อลิตร ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 17-18 บาทต่อลิตร ในช่วงต้นปี 2568
ปัญหาหลัก คือ ความต้องการใช้เอทานอลในตลาดที่ลดลง ทั้งจากภาคพลังงานและอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงราคาวัตถุดิบหลักอย่างมันสำปะหลังและกากน้ำตาลที่ตกต่ำลง ทำให้ต้นทุนการผลิตลดต่ำลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตจำเป็นต้องลดราคาขายเพื่อระบายสต๊อกเอทานอลที่มีมากสะสมอยู่ เนื่องจากไม่สามารถขายได้ในราคาสูงเช่นเดิม
กระทรวงพลังงานแจ้งว่า ในปี 2567 ราคากากน้ำตาลเฉลี่ย 5.79 บาทต่อกิโลกรัม และราคาหัวมันสดคละ 3.07 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ปี 2568 ราคากากน้ำตาลช่วงเดือน ม.ค. อยู่ที่ 7.88 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงเหลือ 4.04 บาท/กก. ในเดือนเมษายน และราคาหัวมันสดช่วงเดือนมกราคม อยู่ระหว่าง 2.00-2.45 บาท/กก. ลดลงเหลือ 1.70-2.00 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนเมษายน
ขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานผลิตเอทานอลประมาณ 28 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 6.92 ล้านลิตรต่อวัน แต่หลายโรงงานยังไม่สามารถผลิตเต็มกำลังได้ โดยบางแห่งเดินเครื่องผลิตต่ำกว่า 50% ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาด้านความต้องการใช้ในตลาดที่ลดลงอย่างชัดเจน
“ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยไม่เคยประสบปัญหาขาดแคลนเอทานอล เนื่องจากมีวัตถุดิบทางการเกษตรที่เพียงพอ แต่ปัญหาที่แท้จริง คือ การบริหารจัดการวัตถุดิบที่ยังไม่สมดุล บางช่วงมีการกักเก็บสต๊อกมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถผลิตหรือจำหน่ายได้เต็มที่”
ดัน E20 น้ำมันพื้นฐานไม่คืบ
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ความต้องการลดลงอย่างมาก คือ ทิศทางนโยบายภาครัฐ โดยแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ฉบับปัจจุบัน มีเป้าหมายในการลดการใช้เอทานอล และยังมีการปรับลดการอุดหนุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายเอทานอลลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจจึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก
นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 และ E20 ให้เป็นน้ำมันพื้นฐานที่ใช้ในประเทศ ส่งผลให้การวางแผนการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะความต้องการใช้งานจริงไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของภาครัฐที่ตั้งไว้
ในช่วงที่ผ่านมา สมาคมได้หารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอให้ภาครัฐและกระทรวงพลังงานกำหนดน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันเกรดพื้นฐานสำหรับกลุ่มเบนซิน เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ ข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ได้รับความชัดเจนและถูกเลื่อนการพิจารณาออกไป
หากมีการกำหนดให้น้ำมัน E20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน จะประหยัดกว่าน้ำมันประเภทอื่น ๆ ซึ่งจากข้อมูลการวิจัยของสถาบันยานยนต์ได้มีการทดสอบแล้ว พบว่า ราคาน้ำมัน E20 ต่างกว่า E10 และแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ 7% แต่อัตราการสิ้นเปลือง ประหยัดกว่า 8% และสมรรถนะอัตราเร่งและแรงม้าของ E20 ไม่ต่างจากน้ำมันชนิดอื่น
ขอใช้เอทานอลผลิตน้ำมันเครื่องบิน
นอกเหนือจากการใช้ในภาคพลังงานแล้ว ผู้ผลิตยังต้องการให้ภาครัฐเปิดโอกาสให้เอทานอลถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมคอสเมติกส์ อุตสาหกรรมการสกัดสมุนไพร รวมถึงอุตสาหกรรมเคมี แต่เพราะเอทานอลเป็นสินค้าควบคุมของกรมสรรพสามิต การผลิตและการใช้จึงถูกจำกัดไว้ตามปริมาณที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนเท่านั้นซึ่งจำกัดโอกาสในการขยายตลาดและเพิ่มความต้องการใช้ในประเทศ ถ้ารัฐสามารถปลดล็อกข้อจำกัดนี้ เปิดโอกาสให้เอทานอลเข้าไปใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลายมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มความต้องการใช้ภายในประเทศ
ที่ผ่านมาไทยเน้นผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil) เป็นหลัก แต่ปริมาณน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วในประเทศยังไม่เพียงพอ และต้องนำเข้าเพิ่มเติม ภาคเอกชนได้ผลักดันการผลิตเอทานอลชีวภาพ (Bioethanol) ที่สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต SAF ได้ โดยกระบวนการผลิต SAF จากเอทานอล โดยใช้เทคโนโลยี Alcohol-to-Jet (ATJ) สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึง 70-80% เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วไป
หากนำเอทานอลมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมัน SAF เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว มองว่าไม่มีความแตกต่างกันมาก เพราะมีการกำหนดคุณภาพและมาตรฐานของน้ำมัน SAF ที่ชัดเจน ทั้ง ลักษณะ สี กลิ่น ปริมาณการตกตะกอน แต่ไม่ทราบเหตุผลว่า ทำไมถึงเลือกใช้น้ำมันปรุงอาหารมาแทน เพราะในประเทศไทยมีเอทานอลล้นตลาด และมากกว่าปริมาณของน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วที่มีไม่เพียงพอ
ดังนั้น การส่งเสริมให้เอทานอลเป็นวัตถุดิบอีกทางเลือกในการผลิต SAF จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมและเป็นไปได้ เพราะไทยมีปริมาณเอทานอลล้นตลาดอยู่แล้ว นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังมีความพยายามในการใช้เอทานอลเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอโพลีโพรพิลีน (Bio-Polypropylene หรือ Bio-PP) พลาสติกชีวภาพชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าพลาสติกโพลีโพรพิลีนทั่วไป แต่ผลิตจากวัตถุดิบชีวภาพ เช่น เอทานอลจากอ้อย การพัฒนาไบโอโพลีโพรพิลีนถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าเอทานอล และสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างยั่งยืน
อนาคตเอทานอลขึ้นอยู่กับรัฐ
ทิศทางเอทานอลของไทยในอนาคต เชื่อว่ายังมีความหวัง และคิดว่าเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน เพียงแต่จะต้องมีนโยบายและได้รับการสนับสนุนอย่างชัดเจน เหมือนกับอินเดียที่เดินหน้าใช้น้ำมันผสมเอทานอล (E20) ตั้งเป้าครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2025-2026 รวมถึงบราซิลได้เดินหน้านโยบายผสมเชื้อเพลิงในระดับ E20-E27 ด้วย
ผู้ประกอบการภาคเอกชน เกษตรกรชาวไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลังจึงอยากให้ภาครัฐผลักดันให้เกิดการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น พร้อมกับผลักดันให้ใช้น้ำมัน E20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน หรือใช้ในอุตสาหกรรมคอสเมติกส์ เครื่องสำอาง หรือกลุ่มที่ต้องการใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลาย ใช้สารเคมีที่เป็นไบโอเบสและฟอสซิลจริง ๆ ถ้าเปิดโอกาสมากขึ้นก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจและตอบโจทย์ความยั่งยืนของประเทศ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘เอทานอล’ ล้นตลาดพิษราคาตก วอนรัฐปลดล็อกขยายสู่อุตฯใหม่
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net