เจาะแผนเสริมเขี้ยวเล็บกองทัพอากาศในชาติอาเซียน-ยกเครื่องอาวุธล้ำสมัย!
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองทัพอากาศของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เดินหน้ายกเครื่อง จัดซื้ออากาศยานรบที่มีความล้ำสมัย เพื่อพัฒนาแสนยานุภาพของตนเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามและมุ่งมั่น ในการป้องกันตนเอง ในช่วงเวลาที่ชาติมหาอำนาจต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด ท่ามกลางความกังวลเรื่องวิกฤตห่วงโซ่อุปทานด้านอาวุธ ทั้งนี้เรามาดูแผนและปัจจัยในการเสริมเขี้ยวเล็บทางทหารของประเทศในภูมิภาคนี้กัน
งบประมาณด้านกลาโหมของอาเซียนปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้บางประเทศเสี่ยงจะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น โดยในระหว่างปี 2000 - 2021 งบด้านการทหารของภูมิภาคนี้ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า เพื่อรับมือกับความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะประเด็นพิพาทในทะเลจีนใต้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น ผลกระทบจากสงครามยูเครนที่ทำให้ซัพพลายด้านอาวุธตึงตัว รวมถึงแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ชาติพันธมิตรเพิ่มงบป้องกันตนเอง
ย้อนดูงบด้านการทหารในภาพรวมของอาเซียนในปี 2023 เราจะเห็นว่าประเทศที่ทุ่มงบด้านกลาโหมมากที่สุด คือ สิงคโปร์ 516,000 ล้านบาท (คิดเป็น 2.86% ของ GDP) ตามด้วย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ส่วนไทยอยู่อันดับ 5 งบอยู่ที่ 195,000 ล้านบาท (คิดเป็น 1.08% ของ GDP) ตามด้วย มาเลเซีย เมียนมา กัมพูชา และบรูไน ขณะที่ สปป.ลาว ไม่มีข้อมูลการใช้จ่ายด้านการทหารที่แน่ชัด
หากดูเฉพาะศักยภาพของกองทัพอากาศ จะเห็นว่ามีหลายประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ที่กำลังเร่งพัฒนากองทัพอากาศให้ทันสมัย ด้วยการลงทุนมหาศาลเพื่อยกเครื่องฝูงบินรบของตนเอง
ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้ งบประมาณด้านกลาโหมของหลายประเทศ ไม่เพียงพอ และส่วนใหญ่ยังเน้นพึ่งพาเครื่องบินรบรุ่นเก๋าและระบบเดิมที่มีอยู่ ซึ่งล้าสมัยมานานหลายทศวรรษ ยกตัวอย่างเช่น เวียดนามยังใช้เครื่องบินขับไล่ SU-22 ที่สหภาพโซเวียตส่งมอบให้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 โดย SU-22 ถือเป็นตำนานแห่งเครื่องบินโจมตีของสหภาพโซเวียต พัฒนาจากรุ่น SU-17 และเป็นรุ่นส่งออกที่ใช้งานในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงยุโรปตะวันออก เอเชีย และตะวันออกกลาง
ฝั่งอินโดนีเซีย ยังคงใช้เครื่องบิน F-16 ซึ่งหลายลำซื้อมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ในขณะที่มาเลเซียก็ยังคงใช้เครื่องบิน Hawk ที่ซื้อมาจากสหราชอาณาจักรในปี 1990
เครื่องบินรบเหล่านี้ นับวันก็ยิ่งจะล้าสมัยขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางปฏิบัติการทางทหารในยุคปัจจุบันที่รวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีข่าวสารและเครือข่ายการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในสนามรบ ตอนนี้ รัฐบาลต่างๆ จึงต้องเร่งแสวงหาเครื่องบินรบที่ทันสมัยกว่า เพื่อมาทดแทนฝูงบินที่ล้าสมัยของตนเอง
ยกตัวอย่างเช่น กองทัพอากาศอินโดนีเซีย ที่ยกเครื่องฝูงบินครั้งใหญ่ โดยมีแผนจะใช้เครื่องบินขับไล่ราฟาล 64 ลำจากฝรั่งเศส และซื้อเครื่องบินรบเพิ่มอีกหลายสิบลำจากเกาหลีใต้ ตุรกี และสหรัฐอเมริกา ส่วนมาเลเซียวางแผนจะอัปเกรดฝูงบินรบของตนเอง ด้วยเครื่องบินขับไล่จากเกาหลีใต้และเครื่องบินรบมือสองของสหรัฐฯ จากประเทศคูเวต ขณะที่สิงคโปร์ก็วางแผนที่จะซื้อเครื่องบิน F-35 เพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงเครื่องบินแบบขึ้น-ลงในแนวดิ่งด้วย
ตามแผนปฏิรูปของบรรดากองทัพอากาศชาติอาเซียน เราจะเห็นจุดร่วมกันอย่างหนึ่ง คือ การมุ่งแสวงหาเครื่องบินรบจากแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่รัสเซีย และสหรัฐฯ
แผนการจัดซื้อเครื่องบินรบ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ในการปรับปรุงกองทัพอากาศของตนให้ทันสมัย ขณะเดียวกันก็พยายามหลีกเลี่ยงการพึ่งพาชาติมหาอำนาจ โดย "เกาหลีใต้" ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างฟิลิปปินส์ ซึ่งมีประเด็นเรื่องพื้นที่พิพาทกับจีนในทะเลจีนใต้ และการเผชิญหน้าในระยะหลังๆ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกที กำลังเตรียมสั่งซื้อเครื่องบิน FA-50 ของเกาหลีใต้เพิ่มอีก 12 ลำ ซึ่งจะทำให้ฝูงบินของทัพอากาศฟิลิปปินส์ มีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ซัพพลายเออร์ในยุโรปก็ไม่น้อยหน้า หลังไทยประกาศซื้อเครื่องบินรบกริพเพน ของสวีเดนเพิ่มอีก 12 ลำ ในระยะเวลา 10 ปี เพื่อนำมาทดแทนเครื่องบิน F-16 รุ่นเก่าของสหรัฐฯ ขณะที่สาธารณรัฐเช็กก็จัดหาเครื่องบิน L-39NG จำนวน 12 ลำให้กับเวียดนามเช่นกัน
นอกจากจะลดการพึ่งพาชาติมหาอำนาจแล้ว ต้นทุนก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เนื่องจากระบบอาวุธที่สร้างโดยสหรัฐฯ มักมีราคาแพงกว่า ฉะนั้น ประเทศต่างๆ ในอาเซียนจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความสมดุลระหว่างงบใช้จ่ายด้านกลาโหมกับงบประมาณจำเป็นเร่งด่วนทางสังคมและเศรษฐกิจในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามปรับปรุงกองทัพอากาศในบางประเทศ ก็ยังติดอุปสรรคเรื่องงบกลาโหมที่ไม่สอดคล้องกัน ความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ และอุปสรรคด้านโลจิสติกส์
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องความยั่งยืน เช่น ต้นทุนในการบำรุงรักษา การฝึกอบรมนักบิน รวมถึงเรื่องอะไหล่ ซึ่งมักเป็นประเด็นที่ถูกละเลย
ยกตัวอย่างเช่นประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีเครื่องบินรบของรัสเซียอยู่หลายสิบลำ แต่ในปี 2018 มีรายงานว่า มีเครื่องบินรบเพียง 4 ลำ จาก 28 ลำ เท่านั้นที่สามารถขึ้นทำการบินได้
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน เมื่อชาติอาเซียนต้องการลดการพึ่งพาชาติมหาอำนาจชาติใดชาติหนึ่งมากเกินไป การกระจายความร่วมมือทางทหารจึงกลายเป็นทางออกที่จำเป็นในเชิงกลยุทธ์ ซัพพลายเออร์ด้านอาวุธจากยุโรป เช่น ฝรั่งเศสและสวีเดน รวมถึงเกาหลีใต้ จึงกลายเป็นพันธมิตรที่น่าสนใจ เพราะเสนอราคาที่ยืดหยุ่นมากกว่าและยังมีเงื่อนไขหรือพันธะผูกพันทางการเมืองน้อยกว่าผู้ผลิตรายใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาหรือจีน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ อินโดนีเซีย ที่พยายามดีลหาอาวุธจากผู้ผลิตที่หลากหลาย นับตั้งแต่ถูกสหรัฐอเมริกาประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรอาวุธระหว่างปลายทศวรรษที่ 1990 ถึงปี 2005 จากข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในติมอร์-เลสเต
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาชาติอาเซียน มีเพียงประเทศเดียวที่ยังเลือกพึ่งพาเครื่องบินรบของสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือ สิงคโปร์ ที่ใช้เครื่องบินรบสหรัฐฯ อาทิ เครื่องบินรบ A-4 Skyhawk, F-5E Tiger, F-16 และ F-15 มาตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1990 หลังจากปลดประจำการเครื่องบิน Hawker Hunters ที่สร้างโดยอังกฤษ
และแผนการปรับปรุงศักยภาพของกองทัพอากาศสิงคโปร์ในเวลานี้ ก็เน้นปรับมาใช้เครื่องบินรบสหรัฐฯ รุ่นที่ล้ำสมัยมากขึ้น คือ F-35A และ F-35B โดยไม่ได้มองหาผู้ผลิตเจ้าอื่น
แน่นอนว่าการเพิ่มขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศของอาเซียน ควรเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน
แต่ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า คือ การทำให้แน่ใจว่าการปรับปรุงทัพอากาศให้ทันสมัย จะเป็นพลังในการสร้างเสถียรภาพมากกว่าจะเป็นตัวเร่งให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศอื่นๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม.อนุมัติ จัดซื้อ เครื่องบินขับไล่ Gripen เฟสแรก 1.95 หมื่นล้านบาท
ครม.ไฟเขียว แก้สัญญา "เรือดำน้ำ" เปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จากจีน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เจาะแผนเสริมเขี้ยวเล็บกองทัพอากาศในชาติอาเซียน-ยกเครื่องอาวุธล้ำสมัย!
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com