ไทยแจงคณะทูตนานาชาติ ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ปกป้องอธิปไตยอย่างชอบธรรม
ไทยแจงคณะทูตนานาชาติ ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ปกป้องอธิปไตยอย่างชอบธรรม โต้กลับตามกฎหมายสากล
วันที่ 2 สิงหาคม 2568 กองทัพบก จัดการบรรยายอย่างเป็นทางการ ณ ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี โดยมีคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารจากนานาประเทศ สื่อมวลชนต่างชาติ และแขกผู้มีเกียรติร่วมรับฟัง เพื่อชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งทวีความรุนแรงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2568
ในการบรรยายครั้งนี้ กองทัพไทยเน้นย้ำว่า การกระทำของฝ่ายไทยทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบ “สิทธิในการป้องกันตนเอง” ตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 โดยไม่ได้มีเจตนาโจมตีเชิงรุก หรือรุกรานกัมพูชาแต่อย่างใด
ลำดับเหตุการณ์สำคัญ จากการยั่วยุ สู่การยิงพลเรือน ฝ่ายไทยเปิดเผยลำดับเหตุการณ์ที่แสดงถึงพฤติกรรมยั่วยุจากฝ่ายกัมพูชา ดังนี้
13 ก.พ. 68 กัมพูชานำนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมเพื่อจัดกิจกรรมปลุกใจ สร้างความตึงเครียด
28 ก.พ. 68 มีการเผา ศาลาตรีมุข ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชา-ลาว
มี.ค.–เม.ย. 68 ทหารกัมพูชาปรับภูมิประเทศและขยายคูติดต่อเข้ามาในเขตแดนไทยเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร
เม.ย.–พ.ค. 68 มีการเคลื่อนย้ายอาวุธและกำลังพลประชิดชายแดนไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีหลักฐานจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของนักวิจัยออสเตรเลีย
28 พ.ค. 68 เกิดการยิงตอบโต้กันในพื้นที่ “ช่องบก” หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากก่อน
เหยื่อทุ่นระเบิด – ขยายความตึงเครียด
ก.ค. 68 ทหารกัมพูชาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 หลายพื้นที่ในเขตไทย ทำให้ทหารไทยสูญเสียขา 2 นาย และบาดเจ็บหลายราย ถือเป็นการละเมิด หลักมนุษยธรรมสากล และ อนุสัญญาออตตาวา ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคีเช่นเดียวกับไทย
ยุทธวิธี “โล่มนุษย์” และจงใจโจมตีเป้าหมายพลเรือน
ตั้งแต่ 24 ก.ค. 68 เป็นต้นมา กัมพูชาเริ่มยิงใส่ทหารไทยที่ประจำการ ณ ปราสาทตาเมือนธม โดยใช้อาวุธหนักหลากหลายชนิด ก่อนยกระดับเป็นการใช้ ปืนใหญ่ และ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 ยิงใส่เป้าหมายพลเรือนในพื้นที่ห่างแนวชายแดนถึง 30 กิโลเมตร ได้แก่ โรงพยาบาลพนมดงรัก (สุรินทร์) ปั๊มน้ำมัน PTT บ้านผือ และร้านสะดวกซื้อ 7-11 (ศรีสะเกษ) โรงเรียนและบ้านเรือนประชาชนใน จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ส่งผลให้ มีผู้เสียชีวิต 15 ราย (รวมเด็กวัย 8 ปี) และ บาดเจ็บ 36 ราย ประชาชน มากกว่า 150,000 คน ต้องอพยพ
การตอบโต้ของฝ่ายไทย ถูกต้องตามกฎหมายสากล ฝ่ายไทยยืนยันว่าได้ดำเนินการตอบโต้ภายใต้หลัก “ความจำเป็นและความได้สัดส่วน” (Necessity and Proportionality) โดยไม่เคยมุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือน และหลีกเลี่ยงการตอบโต้ในพื้นที่ชุมชนที่ฝ่ายกัมพูชาใช้เป็นฐานยิง ซึ่งเท่ากับการใช้ “โล่มนุษย์” อันเป็นการละเมิด กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ละเมิดหยุดยิง – โดรนลาดตระเวนในเขตไทย แม้มีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ 28 ก.ค. 68 ที่มาเลเซีย ฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดต่อเนื่องในหลายพื้นที่ เช่น ช่องบก จ.อุบลฯ, ผามออีแดง และภูมะค่า จ.ศรีสะเกษ โดยล่าสุดเมื่อ 31 ก.ค. 68 ยังตรวจพบกัมพูชาใช้ โดรนบินล้ำเข้ามาในพื้นที่ตอนในของไทย
ไทยโต้ข้อกล่าวหา – ย้ำ “ไม่เคยใช้ระเบิดเคมี” ไทยตอบโต้ข้อกล่าวหาของกัมพูชาว่าใช้ อาวุธเคมี และ ระเบิด MK-84 ด้วยหลักฐานชัดเจนว่า ภาพ “ระเบิดเคมี” ที่กัมพูชาอ้างถึง เป็น ภาพดับไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย ปี 2022 ระเบิดที่อ้างว่าเป็น MK-84 เป็น ระเบิดเก่าสมัยสงครามเวียดนาม ไม่มีความเชื่อมโยงกับปฏิบัติการของกองทัพไทย
ข้อเรียกร้องต่อประชาคมโลก กองทัพไทยเรียกร้องให้ ประชาคมระหว่างประเทศ ตระหนักถึงข้อเท็จจริง สนับสนุนการเจรจาทวิภาคีอย่างตรงไปตรงมา และ ร่วมกดดันให้ฝ่ายกัมพูชาหยุดละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและบิดเบือนข้อมูล
ทั้งนี้ ไทยยังเปิดกว้างให้ องค์กรสากล เช่น ICRC และ UNHCR เข้ามาตรวจสอบการควบคุมตัวทหารกัมพูชา ตามหลักอนุสัญญาเจนีวา เพื่อสร้างความโปร่งใสและยืนยันว่า ไทยปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
บทสรุปกองทัพไทยย้ำว่า การปะทะทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นจากฝ่ายกัมพูชา และการตอบโต้ของไทยเป็นเพียงการ ปกป้องอธิปไตย ปกป้องประชาชน และปฏิบัติตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างครบถ้วน
“ประเทศไทยไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มต้นความรุนแรง แต่จะไม่ยอมให้ใครรุกล้ำอธิปไตยโดยไม่ตอบโต้”