PLUS ปรับขึ้นราคาขายปลีกในตลาดสหรัฐฯ 10% รับมือภาษีทรัมป์ 36%
บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS ชี้แจงกรณีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าทุกชนิดจากประเทศไทยในอัตรา 36% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป พร้อมเดินเกมรุกตลาดอเมริกา ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Co-Brand ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น ส่งเข้า Walmart และขยายตลาดใหม่ทั่วโลก ด้านกระแสหุ้นน้ำมะพร้าวไทยบูม มองเป็นโอกาสหนุนการเติบโตระยะยาว
นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS เปิดเผยว่า กรณีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าทุกชนิดจากประเทศไทยในอัตรา 36% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ถือเป็นต้นทุนของผู้ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมแผนรองรับภาษีนำเข้า ด้วยการเจรจาปรับราคาขายปลีกในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค พร้อมทั้งเจรจาปรับโครงสร้างราคากับลูกค้ารายใหญ่ และทำสัญญาระยะยาว (Long-Term Contract) กับพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับบริษัท เพื่อรักษาเสถียรภาพของรายได้ และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดแต่ละประเทศ ผ่านการขยายตลาดในภูมิภาคอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
“บริษัทได้วางแผนบริหารจัดการร่วมกับลูกค้าในตลาดดังกล่าวล่วงหน้าแล้ว ทั้งในเรื่องของการปรับราคาขายปลีกและกลยุทธ์การขาย โดยในไตรมาส 1/2568 สัดส่วนรายได้จากตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้รวมของบริษัท” นายพลแสง กล่าว
หนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญของบริษัท คือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Co-Brand กับพันธมิตรในสหรัฐฯ ซึ่งได้เริ่มการส่งออกสินค้าแล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมวางจำหน่ายในห้างค้าปลีกระดับประเทศอย่าง Walmart ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายฐานลูกค้าและยกระดับการรับรู้แบรนด์ในตลาดสหรัฐฯ
โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มเห็นแรงส่งเชิงบวกต่อยอดขายจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ Co-Brand ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป พร้อมย้ำจุดแข็งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และความสามารถในการตอบสนองความต้องการตลาดต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน บริษัทได้รับอานิสงส์จากความเชื่อมั่นในมาตรฐานการผลิตระดับสากล โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้า ODM (รับจ้างผลิตแบรนด์ลูกค้า) ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันการเติบโตระยะยาวของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกจากกรณีที่ IFBH Ltd. บริษัทแม่ของแบรนด์น้ำมะพร้าวชื่อดัง “IF” จากประเทศไทย ได้เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งการเคลื่อนไหวของแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมนี้เป็นการปลุกกระแสและเปิดประตูให้กับแบรนด์อื่นๆ ที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น โดยตลาดจีนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และมีแนวโน้มความต้องการน้ำมะพร้าวแท้จากประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง