ภัยคุกคาม? "AI" ไม่ได้แค่ช่วยแต่กำลังแทนที่งาน l การตลาดเงินล้าน
การลงทุนกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างรวดเร็วของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมาก กำลังส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานชัดเจนมากขึ้น
เช่น ล่าสุด ซีอีโอ ของ Salesforce(เซลส์ฟอร์ซ) บริษัทซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มคลาวด์ ที่มีฐานอยู่ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์กับ บลูมเบิร์ก ว่าปัจจุบันได้ใช้ เอไอ ทำงาน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30-50 ของบริษัทฯ ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ หลังเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ดังกล่าวได้ปรับโครงสร้างองค์กร และเลิกจ้างพนักงานไปมากกว่า 1,000 คน
โดย มาร์ค เบนนีออฟ (Marc Benioff) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซลส์ฟอร์ซ กล่าวว่า ได้ใช้ เอไอ เข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ในหลายส่วนขององค์กรแล้ว รวมถึงวิศวกรรมซอฟต์แวร์ และงานบริการลูกค้า และการใช้ เอไอ ในบริษัทฯ ทำให้สามารถจ้างพนักงานได้น้อยลง
ซึ่งเรียกการเพิ่มขึ้นของ เอไอ ในกำลังแรงงานว่าเป็น การปฏิวัติแรงงานดิจิทัล และประเมินว่าบริษัทฯ ได้บรรลุความแม่นยำประมาณร้อยละ 93 ด้วยเทคโนโลยีนี้ แต่ก็บอกไว้ว่า เอไอ สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์เคยทำมาก่อน ได้ ดังนั้น มนุษย์ ก็สามารถก้าวไปสู่การทำงานที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ซีอีโอของ Amazon (แอมะซอน) แอนดี้ แจสซี (Andy Jassy) ได้ส่งสัญญาณการเลิกจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และเน้นย้ำเกี่ยวกับ เอไอ ว่า กำลังเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของบริษัทฯ
ในจดหมายถึงพนักงานฉบับล่าสุด แจสซี ระบุว่า เมื่อบริษัทฯ เริ่มใช้ เจนเนเรทีฟ เอไอ (Generative AI) และเอเจนต์ เอไอ (Agent AI หรือ เครื่องมืออัตโนมัติต่าง ๆ) มากขึ้น จะทำให้วิธีการทำงานภายในองค์กรเปลี่ยนไป และความต้องการคนก็จะน้อยลงในบางตำแหน่งงาน แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจจะต้องการคนมากขึ้นในงานบางประเภทด้วย
และบอกอีกว่า เป็นเรื่องยากที่จะทราบแน่ชัดว่าจะส่งผลอย่างไรในระยะยาว แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คาดว่าจะทำให้จำนวนพนักงานทั้งหมดในองค์กรลดลง เนื่องจากองค์กร จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการใช้ เอไอ อย่างกว้างขวางภายในบริษัทฯ เอง ดังนั้น ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านนี้ ควรอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับ เอไอ เรียนรู้ด้วยตัวเอง เข้าร่วมเวิร์กช็อป ฝึกอบรม และทดลองใช้ เอไอ ซึ่งความสำเร็จของงานจะมีมากขึ้น จากทีมงานที่มีความสามารถมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเทคโนโลยีอีกหลายราย ที่ทำให้เห็นถึงผลกระทบของ เอไอ ต่อตลาดงาน เช่น Microsoft (ไมโครซอฟต์) ประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคม ว่ามีแผนจะเลิกจ้างพนักงานร้อยละ 3
Google (กูเกิล) เปิดโครงการลาออกโดยสมัครใจ ทั้งบริษัทอีกรอบ
ส่วน Meta (เมตะ) เมื่อเร็วๆ นี้ประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่า 3,600 คน เพื่อเปิดทางให้กับแผนงานด้าน AI ขององค์กร
นอกจากนี้ Klarna (คลาน่า) บริษัทฟินเทค สัญชาติสวีเดน ได้ลดจำนวนพนักงานลงร้อยละ 40 เนื่องจากการใช้ เอไอ
และ Shopify (ชอปปิฟาย) ซึ่ง ซีอีโอ ชอปปิฟาย แจ้งต่อพนักงานเมื่อเดือนเมษายน ว่าจะไม่จ้างพนักงานใหม่เพิ่ม จนกว่าพิสูจน์ได้ว่า เอไอ ไม่สามารถทำงานแทนตำแหน่งนั้นได้
นอกจากนี้ ซีเอ็นบีซี รายงานว่า เอไอ กำลังเข้ามามีบทบาทในตลาดงานมากขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานกล่าวว่า เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งผลกระทบต่อประชากรในบางส่วน
ขณะที่ รายงานของ เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม (World Economic Forum) ซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นปี พบว่านายจ้างในสหรัฐฯ กว่าร้อยละ 48 วางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานเนื่องจาก AI
เคท ลิสเตอร์ (Kate Lister) ประธานบริษัทที่ปรึกษา โกลบอล เวิร์กเพลส อนาลิติกส์ (Global Workplace Analytics) กล่าวว่า สถานการณ์การเลิกจ้างในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งยังเป็นผลพวงมาจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีการแพร่ระบาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน ภัยคุกคามจาก เอไอ ต่องานบางประเภท ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะยาว
งานด้านการบริหาร และ บริการลูกค้า จะเป็น 2 อาชีพแรกที่อาจะเสี่ยงถูกดิสรัปต์จาก เอไอ โดยกลุ่ม บลู คอลลาร์ (blue collar) หรือกลุ่มงานที่ต้องใช้ทักษะ อาจจะปลอดภัยจากการถูกเลิกจ้างที่เกี่ยวข้องกับ เอไอ มากกว่าพนักงานออฟฟิศทั่วไป หรือ ไวต์ คอลลาร์ (white-collar)
นอกจากนี้ ลิสเตอร์ เรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ เร่งพิจารณาถึงความต้องการที่แท้จริงในการยกระดับทักษะ และเตรียมให้พร้อมสำหรับการขยายตัวของ เอไอ
และบอกว่า เอไอ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถเข้ามาแทนที่งานที่ยุ่งเหยิงได้ และช่วยให้พนักงานหลีกเลี่ยงจากภาวะหมดไฟได้ แต่หากไม่เตรียมคนให้พร้อม และฝึกทักษะใหม่ เพื่อใช้ประโยชน์จาก เอไอ อย่างเต็มที่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องยาก และจะเกิดการว่างงานเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องตื่นตระหนก เพราะว่า เอไอ ยังต้องพัฒนาอีกมากก่อนที่จะสามารถแทนที่พนักงานที่เป็นมนุษย์ได้ทั้งหมด แต่ที่แน่ ๆ ก็คือจะส่งผลกระทบต่อประชากรในบางส่วนแน่นอน
ก่อนหน้านี้ ซีเอ็นบีซี นำเสนอรายงานวิจัยฉบับใหม่ของ พีดับบลิวซี (PwC) ระบุว่า แม้จะมีความกังวลกันอย่างกว้างขวางต่อ เอไอ ว่ากำลังจะเข้ามาแย่งงาน แต่จากงานวิจัยใหม่ ได้ให้มุมมองในทางตรงกันข้าม ที่ว่า ปัญญาประดิษฐ์จะทำให้ผู้คน มีค่ามากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง
โจ แอตคินสัน (Joe Atkinson) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ ระดับโลก ของ พีดับบลิวซี กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ผู้คนกลัวคือความเร็วของเทคโนโลยี แต่ในความเป็นจริง คือเทคโนโลยี มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และสิ่งที่รายงานฉบับนี้ ชี้ให้เห็นก็คือ ปัญญาประดิษฐ์ กำลังเข้ามาสร้างงาน
ซึ่งตามรายงาน เอไอ จ๊อบส์ บาโรมิเตอร์ 2025 พบว่า จำนวนงานและค่าจ้างกำลังเพิ่มขึ้นในแทบทุกอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ เอไอ แม้แต่ในงานที่สามารถถูกระบบอัตโนมัติแทนที่ได้ง่าย เช่น พนักงานบริการลูกค้า หรือนักเขียนโค้ด ซอฟต์แวร์
แคโรล สตับบิงส์ (Carol Stubbings) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ระดับโลก พีดับบลิวซี ยูเค (PwC UK) กล่าวว่า ทุกครั้งที่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม มักจะมีการสร้างงานใหม่มากกว่า งานที่จะหายไป แต่ความท้าทายคือ ทักษะที่แรงงานต้องใช้ในงานใหม่ ๆ นั้น มักจะแตกต่างไปจากเดิมมาก
ดังนั้น ความท้าทายที่มองเห็น ไม่ใช่เรื่องว่า จะไม่มีงานให้ทำ แต่คือคนทำงานต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานเหล่านั้นมากกว่า
นอกจากนี้ จากรายงานดังกล่าว ยังนำเสนอความท้าทายและความเชื่อผิด ๆ ทั่วไป 6 ประการเกี่ยวกับผลกระทบจาก เอไอ
เรื่องแรกเกี่ยวกับ ผลิตภาพ ที่เชื่อกันว่า เอไอ ไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการผลิต แต่จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2022 พบว่า อุตสาหกรรมที่เหมาะกับการใช้ เอไอ มากที่สุด เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ และการเงิน มี การเติบโตด้านผลิตภาพเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า
ด้านค่าจ้าง ที่เชื่อกันว่า จะส่งผลกระทบต่อค่าจ้างและอำนาจต่อรองลดลง แต่ข้อมูลจาก พีดับบลิวซี แสดงให้เห็นว่า ค่าจ้างของงานที่มีทักษะ เอไอ จะสูงกว่าพนักงานไม่มีทักษะเหล่านี้ในอาชีพเดียวกัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ ร้อยละ 56 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25 เมื่อปีที่แล้ว และในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ เอไอ มากที่สุด พบว่า มีอัตราการขึ้นเงินเดือนเร็วกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ เอไอ น้อย
ด้านจำนวนงานที่เชื่อว่า เอไอ จะทำให้จำนวนงานลดลง แต่ตามรายงานพบว่า งานที่เกี่ยวข้องกับ เอไอ น้อย (หรือ เอไอยังเข้าไปแทนที่ไม่ได้) มีการเติบโตของจำนวนงานสูงถึงร้อยละ 65 ระหว่างปี 2019-2024 ส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับ เอไอ มาก ยังมีการเติบโตของจำนวนงานอยู่ที่ร้อยละ 38 แม้จะเติบโตช้ากว่า แต่ก็ถือว่ายังเติบโตชัดเจน
เรื่องความไม่เท่าเทียม ในด้านโอกาสและค่าจ้าง ผลของการวิจัยของรายงานแสดงให้เห็นว่า ค่าจ้าง และการจ้างงานเพิ่มขึ้นสำหรับงานที่ เอไอ สามารถเข้ามาช่วยหรือแทนที่ได้บางส่วน
ด้าน ทักษะ ที่ว่า เอไอ อาจลดทักษะงานของคน แต่จากรายงานพบว่า เอไอ สามารถช่วยยกระดับงานบางประเภท โดยลดงานที่ซ้ำซ้อนลง ทำให้พนักงานมีเวลาไปฝึกทักษะที่ใช้การตัดสินใจที่สูงขึ้น เช่น พนักงานป้อนข้อมูลสามารถพัฒนาไปสู่บทบาทที่มีคุณค่าสูงขึ้น เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล
สุดท้ายเรื่อง ระบบอัตโนมัติ ที่ว่า เอไอ อาจลดคุณค่าของงานที่ระบบอัตโนมัติทำได้ แต่ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นสำหรับงานที่ใช้ระบบอัตโนมัติได้อย่างมากเท่านั้น แต่เทคโนโลยียังปรับเปลี่ยนงานเหล่านี้ให้ ซับซ้อนและสร้างสรรค์ มากขึ้น สุดท้ายก็ทำให้ผู้คนมีคุณค่ามากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- มาเหนือ! "Tesla" เริ่มส่งมอบรถถึงบ้านอัตโนมัติ l การตลาดเงินล้าน
- "ทรัมป์" เผยมีผู้ซื้อ TikTok แล้ว รอความเห็นชอบจากจีน l การตลาดเงินล้าน
- "Nike" ลดพึ่งจีนรับมือ "ภาษีทรัมป์" ผลิตรองเท้าในตลาดสหรัฐ l การตลาดเงินล้าน
- "H&M" จ่อขึ้นราคาหลังต้นทุนพุ่ง พร้อมจับตา "ภาษีทรัมป์" l การตลาดเงินล้าน
- ยอด Xiaomi YU7 ทะลุ 3 แสนคันชั่วโมงแรก ท้าชน Tesla อาจต้องลดราคา l การตลาดเงินล้าน