พรรคส้มกับโรคกลัวรัฐประหาร: อาการป่วยหนักของประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์น!
ประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์นอาจดูสวยในจินตนาการ แต่เมื่อมัน “ป่วย” ด้วยโรคกลัวรัฐประหารจนไม่กล้าทวงถามอำนาจที่ล้มเหลว ประชาธิปไตยนั้นก็ไม่ต่างจากความฝันที่กำลังจะตาย
เพราะ ประชาธิปไตยที่แท้ ไม่ใช่แค่การต่อต้านรัฐประหารแต่คือระบบที่ ผู้นำต้องกล้ารับผิดเมื่อทำผิดพลาดและรู้จักก้าวลงจากอำนาจเมื่อประชาชนหมดศรัทธา
จริงอยู่ บนเวทีชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยฯบางแกนนำ อาจใช้ถ้อยคำเลยเถิดไปบ้าง แต่สารสำคัญของมวลชนวันนั้น คือ การเรียกร้องให้นายกฯ รับผิดชอบด้วยการลาออก ไม่ใช่การทนยอมให้ผู้นำอยู่ต่อเพื่อยื้อเวลา
เสียงของประชาชนที่เดินออกจากบ้านไม่ใช่เสียงเรียกร้องให้รถถังออกมาแต่คือเสียงที่บอกว่า ประเทศนี้ไม่ควรเป็นตัวประกันของอำนาจที่ไม่รู้จักพอ
แต่พรรคประชาชน หรือที่หลายคนเรียกว่า“พรรคส้ม”ที่สืบสายจากอนาคตใหม่และก้าวไกล กลับเลือกหยิบ บางคำบนเวทีเพียงไม่กี่ประโยคไปขยายเป็นแถลงการณ์กล่าวหาการชุมนุมครั้งนี้ว่า เป็นการเปิดทางให้รัฐประหาร
นี่ไม่ใช่เพียงความกลัวรัฐประหารธรรมดา แต่คือ ความกลัวที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการทวงถามความรับผิดจากอำนาจที่ล้มเหลว
ประเทศที่ประชาธิปไตยแข็งแรง ไม่ใช่ประเทศที่รอดรัฐประหารเพราะโชคช่วย แต่คือประเทศที่ ผู้นำรู้จักก้าวลงก่อนความโกรธของประชาชนจะลุกลาม
พรรคส้มพูดเรื่องสิทธิและเสรีภาพได้สวย แต่ไม่กล้าพูดคำง่าย ๆ ว่า“ผู้นำที่ทำผิด ต้องลาออก”
เสียง“ลูกออกไป พ่อติดคุก” ที่ก้องกลางอนุสาวรีย์ชัยฯ ไม่ใช่เสียงเรียกร้องให้รถถังออกมา
แต่คือเสียงที่บอกว่าประเทศไทยไม่ควรมีผู้นำที่ไร้วุฒิภาวะ อ่อนแอ ยอมอ่อนข้อให้ต่างชาติ และไม่ควรปล่อยให้ตำแหน่งนายกฯ ถูกใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พ่อที่ต้องคดี
ประชาธิปไตยจะยืนอยู่ได้ต้องกล้าทวงถามความรับผิดจากอำนาจพร้อมกับยืนหยัด ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนไปพร้อมกัน
หลายคนเชื่อว่า การเลือกตั้งคือคำตอบทุกอย่างคิดว่าถ้ามีสิทธิ มีเสรีภาพ บ้านเมืองจะดีเอง นี่คือมายาคติของ “ประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์น”
ยูนิคอร์นคือสัตว์ในตำนานสง่างาม อ่อนโยน และถูกเชื่อว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง แต่ความจริงคือ มันไม่เคยมีอยู่จริง
“ประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์น” ก็เช่นกัน คือแนวคิดที่เชื่อว่า แค่มีการเลือกตั้ง มีสิทธิเสรีภาพ บ้านเมืองจะดีเอง โดยไม่ต้องใส่ใจว่า ประชาธิปไตยต้องคู่กับความรับผิดของคนในอำนาจ
ในโลกจริง ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงการเลือกตั้ง แต่ต้องมีผู้นำที่รู้จักลงจากอำนาจเมื่อประชาชนหมดศรัทธา และไม่ใช้การเลือกตั้งเป็นเกราะกำบังความล้มเหลว
“รอเลือกตั้ง” ถูกใช้เป็นข้ออ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อเลี่ยงการทวงถามความรับผิดชอบ ทั้งที่ความทุกข์ของประชาชนไม่ควรถูกเลื่อนออกไป
พรรคส้ม เคยปลุกความหวังเรื่อง“ปฏิรูปโครงสร้าง” แต่เมื่อถึงเวลาต้องพูดคำง่าย ๆ ว่า“นายกฯต้องลาออก”กลับเลือกบอกประชาชนว่า “รอเลือกตั้ง”
ความกลัวรัฐประหารไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อความกลัวนั้นทำให้ไม่กล้าทวงถามความผิดจากอำนาจ มันคือกับดักที่กัดกินประชาธิปไตยทีละน้อย
ประชาธิปไตยแท้ต้องไม่ปล่อยให้ใครอยู่เหนือความเดือดร้อนของประชาชน และไม่ยอมให้สิทธิและเสรีภาพถูกใช้ปกป้อง ผู้นำที่ไม่รู้จักคำว่า “พอ”
การเรียกร้องให้ นายกฯลาออกเมื่อทำผิดพลาดไม่ใช่การเปิดทางให้รัฐประหาร แต่คือ การรักษาศักดิ์ศรีของประชาธิปไตย
พรรคที่อ้างว่าเป็น“พรรคคนรุ่นใหม่” เคยตะโกนด่ารัฐบาลทุกรัฐบาลเรื่องความไม่รับผิด แต่เมื่อถึงวันที่รัฐบาลนี้ล้มเหลว กลับไม่กล้าพูดคำเดียวกันว่า “นายกฯต้องลาออก”
พรรคส้ม อ้างว่าเป็นพรรคที่ท้าทายอำนาจเก่า แต่ความจริงกลับไม่กล้าท้าทายอำนาจที่ล้มเหลว เพราะกลัวจะเสียโอกาสทางการเมืองของตัวเอง
หลายคนสงสัยทำไมพรรคส้มไม่กล้าเรียกร้องให้นายกฯลาออกตรง ๆทั้งที่รู้ว่ารัฐบาลหมดความเชื่อมั่นในสายตาประชาชน?
เพราะรู้ว่า หากนายกฯลาออกโดยไม่ยุบสภา พรรคส้มจะ ไม่มีสิทธิส่งแคนดิเดตนายกฯ ของตัวเองเข้าสภา
ชื่อ “พิธา” ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว และหากไม่เกิดการยุบสภา พรรคอื่นจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการเลือกตั้ง ที่พรรคส้มหวังจะกลับมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง
นี่คือเหตุผลที่พรรคส้ม เรียกร้อง “ยุบสภา” แทนที่จะเรียกร้อง“ให้นายกฯลาออก” ไม่ใช่เพราะห่วงประชาธิปไตย แต่เพราะห่วงความได้เปรียบทางการเมืองของตัวเอง
ประชาธิปไตยไม่ใช่เวทีสำหรับใครกลับมาล่าอำนาจแต่คือสัญญาต่อประชาชนว่า ไม่มีใครจะอยู่เหนือความทุกข์ของคนธรรมดาได้ตลอดไป
ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนไม่ใช่ประชาธิปไตยที่อ้าง“สิทธิและเสรีภาพ” แต่ไม่กล้าทวงถามความผิดของผู้นำที่ล้มเหลว
สังคมไทยถูกสอนให้ “กลัวรัฐประหาร” จนหลายครั้ง ลืมไปว่าการปล่อยให้ผู้นำที่ล้มเหลวอยู่ต่ออาจผลักประเทศเข้าใกล้ความวุ่นวายยิ่งกว่ารถถัง
บ้านเมืองไม่ต้องการรัฐประหาร แต่บ้านเมืองก็ไม่ควรต้องทนกับนายกฯ ที่ใช้เก้าอี้เป็นเกราะคุ้มกันตัวเองในขณะที่ประชาชนต้องจมอยู่กับความล้มเหลว
พรรคส้ม ที่เคยถูกมองว่าเป็นความหวัง ต้องตอบให้ได้ว่า พร้อมหรือไม่ที่จะทวงถามความผิดจากอำนาจ แม้สิ่งนั้นอาจทำให้ตัวเองเสียโอกาสทางการเมือง
ถ้ายังเลือกให้คน“รอเลือกตั้ง” ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่กล้าทวงถามความรับผิดจากอำนาจ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากพรรคเก่า ที่เคยประณาม
ประชาธิปไตยไม่ใช่ฉากสวย ๆ บนเวที ไม่ใช่คำในแถลงการณ์ที่เอาไว้กลับมาเล่นเกมการเมือง แต่มันคือระบบที่ ไม่มีใครใหญ่เกินเสียงสะอื้นของประชาชน
ถ้าพรรคใดบอกว่าตัวเอง “รักประชาธิปไตย” แต่ไม่กล้าทวงถามความผิดของผู้นำ ความรักนั้นก็เป็นเพียง“เกราะปกป้องอำนาจตัวเอง”
เมื่อประชาธิปไตยถูกใช้เป็นโล่กันผิด มันจะกลายเป็นของปลอมในเปลือกที่สวย และจะไม่มีวันปกป้องคนธรรมดาได้จริง
ประเทศไทยต้องการประชาธิปไตย แต่ต้องการ ประชาธิปไตยที่คู่กับความรับผิดของอำนาจไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เอาไว้คุ้มครองผู้นำที่ล้มเหลว
สิทธิ เสรีภาพ การเลือกตั้ง สำคัญ แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ความหมาย หากผู้นำไม่รู้จักคำว่า “พอ” และไม่รู้จักก้าวลงเมื่อประชาชนหมดศรัทธา
พร้อมหรือไม่ที่จะพูดคำง่าย ๆ ว่า“นายกฯต้องลาออก”เมื่อเห็นกับตาว่าความล้มเหลวกำลังทำร้ายประเทศ
ประชาธิปไตยที่แท้ ไม่ใช่ โลกแฟนตาซีของยูนิคอร์น แต่คือระบบที่ ไม่มีใครอยู่เหนือความทุกข์ของประชาชน
หากยังกลัวเสียฐานเสียง กลัวเสียโอกาสก้าวสู่อำนาจ และยังใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นข้ออ้าง ให้ผู้นำที่ล้มเหลวอยู่ต่อ พรรคที่เคยเป็นความหวัง ก็จะกลายเป็นความผิดหวังอีกบทหนึ่งของการเมืองไทย
ประชาธิปไตยจะไม่รอด ถ้าเราเอาความกลัวรัฐประหารมาเป็นข้ออ้าง จนไม่กล้าบอกอำนาจที่ผิดพลาดว่า“พอได้แล้ว”
ถึงเวลาแล้วที่พรรคส้มต้องเรียนรู้ว่า “การยืนข้างประชาชน”ไม่ใช่การเลือกยืนกับเฉพาะคนที่สนับสนุนตัวเอง แต่คือการยืนกับประชาชนทุกกลุ่ม ที่เดือดร้อนจากอำนาจที่ล้มเหลว แม้พวกเขาจะคิดไม่เหมือนกับเรา
หากพรรคส้มยังสงวนท่าที เพราะกลัวกระทบเส้นทางการเมืองของตัวเองไม่กล้าทวงถามอำนาจให้ก้าวลง
วันหนึ่ง พรรคที่เคยถูกมองว่า“เป็นความหวัง” จะเหลือเพียงรอยขีดข่วนบางๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ ว่าเคยมีพรรคที่ฝันอยากล้มรัฐประหาร โดยเชื่อว่าตัวเองคือฮีโร่ผู้จะเปลี่ยนโลก
แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับ“ความจริง” ของการเมืองไทย ที่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นให้ใครได้ลองผิดลองถูก
และทิ้งไว้เพียง“โรคกลัวรัฐประหาร” และอาการป่วยหนัก ของประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์น ที่ไม่มีวันรักษาให้หายได้เลย.