โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

พรรคส้มกับโรคกลัวรัฐประหาร: อาการป่วยหนักของประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์น!

ไทยโพสต์

อัพเดต 29 มิถุนายน 2568 เวลา 19.00 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์นอาจดูสวยในจินตนาการ แต่เมื่อมัน “ป่วย” ด้วยโรคกลัวรัฐประหารจนไม่กล้าทวงถามอำนาจที่ล้มเหลว ประชาธิปไตยนั้นก็ไม่ต่างจากความฝันที่กำลังจะตาย

เพราะ ประชาธิปไตยที่แท้ ไม่ใช่แค่การต่อต้านรัฐประหารแต่คือระบบที่ ผู้นำต้องกล้ารับผิดเมื่อทำผิดพลาดและรู้จักก้าวลงจากอำนาจเมื่อประชาชนหมดศรัทธา

จริงอยู่ บนเวทีชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยฯบางแกนนำ อาจใช้ถ้อยคำเลยเถิดไปบ้าง แต่สารสำคัญของมวลชนวันนั้น คือ การเรียกร้องให้นายกฯ รับผิดชอบด้วยการลาออก ไม่ใช่การทนยอมให้ผู้นำอยู่ต่อเพื่อยื้อเวลา

เสียงของประชาชนที่เดินออกจากบ้านไม่ใช่เสียงเรียกร้องให้รถถังออกมาแต่คือเสียงที่บอกว่า ประเทศนี้ไม่ควรเป็นตัวประกันของอำนาจที่ไม่รู้จักพอ

แต่พรรคประชาชน หรือที่หลายคนเรียกว่า“พรรคส้ม”ที่สืบสายจากอนาคตใหม่และก้าวไกล กลับเลือกหยิบ บางคำบนเวทีเพียงไม่กี่ประโยคไปขยายเป็นแถลงการณ์กล่าวหาการชุมนุมครั้งนี้ว่า เป็นการเปิดทางให้รัฐประหาร

นี่ไม่ใช่เพียงความกลัวรัฐประหารธรรมดา แต่คือ ความกลัวที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการทวงถามความรับผิดจากอำนาจที่ล้มเหลว

ประเทศที่ประชาธิปไตยแข็งแรง ไม่ใช่ประเทศที่รอดรัฐประหารเพราะโชคช่วย แต่คือประเทศที่ ผู้นำรู้จักก้าวลงก่อนความโกรธของประชาชนจะลุกลาม

พรรคส้มพูดเรื่องสิทธิและเสรีภาพได้สวย แต่ไม่กล้าพูดคำง่าย ๆ ว่า“ผู้นำที่ทำผิด ต้องลาออก”

เสียง“ลูกออกไป พ่อติดคุก” ที่ก้องกลางอนุสาวรีย์ชัยฯ ไม่ใช่เสียงเรียกร้องให้รถถังออกมา

แต่คือเสียงที่บอกว่าประเทศไทยไม่ควรมีผู้นำที่ไร้วุฒิภาวะ อ่อนแอ ยอมอ่อนข้อให้ต่างชาติ และไม่ควรปล่อยให้ตำแหน่งนายกฯ ถูกใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พ่อที่ต้องคดี

ประชาธิปไตยจะยืนอยู่ได้ต้องกล้าทวงถามความรับผิดจากอำนาจพร้อมกับยืนหยัด ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนไปพร้อมกัน

หลายคนเชื่อว่า การเลือกตั้งคือคำตอบทุกอย่างคิดว่าถ้ามีสิทธิ มีเสรีภาพ บ้านเมืองจะดีเอง นี่คือมายาคติของ “ประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์น”

ยูนิคอร์นคือสัตว์ในตำนานสง่างาม อ่อนโยน และถูกเชื่อว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง แต่ความจริงคือ มันไม่เคยมีอยู่จริง

“ประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์น” ก็เช่นกัน คือแนวคิดที่เชื่อว่า แค่มีการเลือกตั้ง มีสิทธิเสรีภาพ บ้านเมืองจะดีเอง โดยไม่ต้องใส่ใจว่า ประชาธิปไตยต้องคู่กับความรับผิดของคนในอำนาจ

ในโลกจริง ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงการเลือกตั้ง แต่ต้องมีผู้นำที่รู้จักลงจากอำนาจเมื่อประชาชนหมดศรัทธา และไม่ใช้การเลือกตั้งเป็นเกราะกำบังความล้มเหลว

“รอเลือกตั้ง” ถูกใช้เป็นข้ออ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อเลี่ยงการทวงถามความรับผิดชอบ ทั้งที่ความทุกข์ของประชาชนไม่ควรถูกเลื่อนออกไป

พรรคส้ม เคยปลุกความหวังเรื่อง“ปฏิรูปโครงสร้าง” แต่เมื่อถึงเวลาต้องพูดคำง่าย ๆ ว่า“นายกฯต้องลาออก”กลับเลือกบอกประชาชนว่า “รอเลือกตั้ง”

ความกลัวรัฐประหารไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อความกลัวนั้นทำให้ไม่กล้าทวงถามความผิดจากอำนาจ มันคือกับดักที่กัดกินประชาธิปไตยทีละน้อย

ประชาธิปไตยแท้ต้องไม่ปล่อยให้ใครอยู่เหนือความเดือดร้อนของประชาชน และไม่ยอมให้สิทธิและเสรีภาพถูกใช้ปกป้อง ผู้นำที่ไม่รู้จักคำว่า “พอ”

การเรียกร้องให้ นายกฯลาออกเมื่อทำผิดพลาดไม่ใช่การเปิดทางให้รัฐประหาร แต่คือ การรักษาศักดิ์ศรีของประชาธิปไตย

พรรคที่อ้างว่าเป็น“พรรคคนรุ่นใหม่” เคยตะโกนด่ารัฐบาลทุกรัฐบาลเรื่องความไม่รับผิด แต่เมื่อถึงวันที่รัฐบาลนี้ล้มเหลว กลับไม่กล้าพูดคำเดียวกันว่า “นายกฯต้องลาออก”

พรรคส้ม อ้างว่าเป็นพรรคที่ท้าทายอำนาจเก่า แต่ความจริงกลับไม่กล้าท้าทายอำนาจที่ล้มเหลว เพราะกลัวจะเสียโอกาสทางการเมืองของตัวเอง

หลายคนสงสัยทำไมพรรคส้มไม่กล้าเรียกร้องให้นายกฯลาออกตรง ๆทั้งที่รู้ว่ารัฐบาลหมดความเชื่อมั่นในสายตาประชาชน?

เพราะรู้ว่า หากนายกฯลาออกโดยไม่ยุบสภา พรรคส้มจะ ไม่มีสิทธิส่งแคนดิเดตนายกฯ ของตัวเองเข้าสภา

ชื่อ “พิธา” ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว และหากไม่เกิดการยุบสภา พรรคอื่นจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการเลือกตั้ง ที่พรรคส้มหวังจะกลับมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง

นี่คือเหตุผลที่พรรคส้ม เรียกร้อง “ยุบสภา” แทนที่จะเรียกร้อง“ให้นายกฯลาออก” ไม่ใช่เพราะห่วงประชาธิปไตย แต่เพราะห่วงความได้เปรียบทางการเมืองของตัวเอง

ประชาธิปไตยไม่ใช่เวทีสำหรับใครกลับมาล่าอำนาจแต่คือสัญญาต่อประชาชนว่า ไม่มีใครจะอยู่เหนือความทุกข์ของคนธรรมดาได้ตลอดไป

ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนไม่ใช่ประชาธิปไตยที่อ้าง“สิทธิและเสรีภาพ” แต่ไม่กล้าทวงถามความผิดของผู้นำที่ล้มเหลว

สังคมไทยถูกสอนให้ “กลัวรัฐประหาร” จนหลายครั้ง ลืมไปว่าการปล่อยให้ผู้นำที่ล้มเหลวอยู่ต่ออาจผลักประเทศเข้าใกล้ความวุ่นวายยิ่งกว่ารถถัง

บ้านเมืองไม่ต้องการรัฐประหาร แต่บ้านเมืองก็ไม่ควรต้องทนกับนายกฯ ที่ใช้เก้าอี้เป็นเกราะคุ้มกันตัวเองในขณะที่ประชาชนต้องจมอยู่กับความล้มเหลว

พรรคส้ม ที่เคยถูกมองว่าเป็นความหวัง ต้องตอบให้ได้ว่า พร้อมหรือไม่ที่จะทวงถามความผิดจากอำนาจ แม้สิ่งนั้นอาจทำให้ตัวเองเสียโอกาสทางการเมือง

ถ้ายังเลือกให้คน“รอเลือกตั้ง” ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่กล้าทวงถามความรับผิดจากอำนาจ สุดท้ายก็ไม่ต่างจากพรรคเก่า ที่เคยประณาม

ประชาธิปไตยไม่ใช่ฉากสวย ๆ บนเวที ไม่ใช่คำในแถลงการณ์ที่เอาไว้กลับมาเล่นเกมการเมือง แต่มันคือระบบที่ ไม่มีใครใหญ่เกินเสียงสะอื้นของประชาชน

ถ้าพรรคใดบอกว่าตัวเอง “รักประชาธิปไตย” แต่ไม่กล้าทวงถามความผิดของผู้นำ ความรักนั้นก็เป็นเพียง“เกราะปกป้องอำนาจตัวเอง”

เมื่อประชาธิปไตยถูกใช้เป็นโล่กันผิด มันจะกลายเป็นของปลอมในเปลือกที่สวย และจะไม่มีวันปกป้องคนธรรมดาได้จริง

ประเทศไทยต้องการประชาธิปไตย แต่ต้องการ ประชาธิปไตยที่คู่กับความรับผิดของอำนาจไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เอาไว้คุ้มครองผู้นำที่ล้มเหลว

สิทธิ เสรีภาพ การเลือกตั้ง สำคัญ แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ความหมาย หากผู้นำไม่รู้จักคำว่า “พอ” และไม่รู้จักก้าวลงเมื่อประชาชนหมดศรัทธา

พร้อมหรือไม่ที่จะพูดคำง่าย ๆ ว่า“นายกฯต้องลาออก”เมื่อเห็นกับตาว่าความล้มเหลวกำลังทำร้ายประเทศ

ประชาธิปไตยที่แท้ ไม่ใช่ โลกแฟนตาซีของยูนิคอร์น แต่คือระบบที่ ไม่มีใครอยู่เหนือความทุกข์ของประชาชน

หากยังกลัวเสียฐานเสียง กลัวเสียโอกาสก้าวสู่อำนาจ และยังใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นข้ออ้าง ให้ผู้นำที่ล้มเหลวอยู่ต่อ พรรคที่เคยเป็นความหวัง ก็จะกลายเป็นความผิดหวังอีกบทหนึ่งของการเมืองไทย

ประชาธิปไตยจะไม่รอด ถ้าเราเอาความกลัวรัฐประหารมาเป็นข้ออ้าง จนไม่กล้าบอกอำนาจที่ผิดพลาดว่า“พอได้แล้ว”

ถึงเวลาแล้วที่พรรคส้มต้องเรียนรู้ว่า “การยืนข้างประชาชน”ไม่ใช่การเลือกยืนกับเฉพาะคนที่สนับสนุนตัวเอง แต่คือการยืนกับประชาชนทุกกลุ่ม ที่เดือดร้อนจากอำนาจที่ล้มเหลว แม้พวกเขาจะคิดไม่เหมือนกับเรา

หากพรรคส้มยังสงวนท่าที เพราะกลัวกระทบเส้นทางการเมืองของตัวเองไม่กล้าทวงถามอำนาจให้ก้าวลง

วันหนึ่ง พรรคที่เคยถูกมองว่า“เป็นความหวัง” จะเหลือเพียงรอยขีดข่วนบางๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ ว่าเคยมีพรรคที่ฝันอยากล้มรัฐประหาร โดยเชื่อว่าตัวเองคือฮีโร่ผู้จะเปลี่ยนโลก

แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับ“ความจริง” ของการเมืองไทย ที่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นให้ใครได้ลองผิดลองถูก

และทิ้งไว้เพียง“โรคกลัวรัฐประหาร” และอาการป่วยหนัก ของประชาธิปไตยสายพันธุ์ยูนิคอร์น ที่ไม่มีวันรักษาให้หายได้เลย.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

กลุ่ม 36 สว.มั่นใจ ‘อิ๊งค์’ ไม่รอด ศาลรธน.รับคำร้องคดีถอดถอน

23 นาทีที่แล้ว

มือประเมินม็อบมาเอง! อดีตบิ๊กศรภ. ฟันธงยอดมวลชนอนุสาวรีย์ชัยฯ ทะลุห้าหมื่น

41 นาทีที่แล้ว

นักวิชาการ จี้พรรคส้มยื่นซักฟอก สลัดปมอิงแอบลับๆกับตระกูลชินวัตร!

55 นาทีที่แล้ว

คนไทยหน่าย ‘การเมืองบีบเลือกข้าง’ หวังแค่ชีวิตที่ดีขึ้น ประเทศมั่นคง

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

คปท. แถลงเตรียมประชุมยกระดับการชุมนุม ย้ำแนวทางไม่ต้องการรัฐประหาร เพียงต้องการให้นายกฯ ลาออก

ข่าวช่องวัน 31

คปท. แถลงเตรียมประชุมยกระดับการชุมนุม ย้ำแนวทางไม่ต้องการรัฐประหาร เพียงต้องการให้นายกฯ ลาออก

ข่าวช่องวัน 31
วิดีโอ

หวานเจี๊ยบ! แม่เล่าให้ลูกฟัง เจอพ่อได้ยังไง พบรักกับอย่างกับนิยาย

BRIGHTTV.CO.TH

กรรมสิทธิ์ร่วม กับ กรรมสิทธิ์รวม : 28 มิถุนายน 2568

สวพ.FM91

คปท. แถลงย้ำ ยืนข้างกองทัพ แต่ไม่หนุนรัฐประหาร นัดหารือใหญ่คณะรวมพลังแผ่นดินฯ 1 ก.ค. นี้ ยกระดับขับไล่รัฐบาล

THE STANDARD

โฆษกภูมิใจไทย เรียกร้องใช้เวทีรัฐสภาแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา

สำนักข่าวไทย Online

เตรียมรับแรงกระแทก

สยามรัฐ

ดช.ร้องไห้ ขึ้นรถทัวร์คนเดียว พ่อถูกจับอยู่ศาลภูเก็ต กำลังจะไปหา โชเฟอร์ตัดสินใจช่วย

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...