‘เผ่าภูมิ’ ชี้คลังมีแนวโน้มปรับ GDP ปี 68 โตเกิน 2.2% หนุนด้วยปัจจัยบวก
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงาน Thailand Focus 2025: Beyond the Challenges ในหัวข้อ 'Policy & Markets: Building Confidence in Thailand’s Investment Climate' (นโยบายและกลไกตลาด: ปลุกความเชื่อมั่นการลงทุนไทย) ว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยตัวเลขคาดการณ์ GDP ล่าสุดของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่ 2.2% มีแนวโน้มจะถูกปรับเพิ่มขึ้นในการประเมินครั้งต่อไป
สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจในมือหลายตัวออกมาดี และหลายสำนักวิเคราะห์ก็ได้ทยอยปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอมรับว่า GDP ในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้ถึง 3% แต่ภาพรวมทั้งปีมีความเป็นไปได้สูงที่จะเติบโตเกินกว่า 2.2%
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลบวกเกินคาดมาจาก มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งในช่วงแรกถูกมองว่าเป็นปัจจัยลบ แต่ผลที่ออกมากลับเป็นบวกต่อประเทศไทย เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งทางการค้าแล้ว อัตราภาษีของไทยไม่แพ้และดีกว่าเล็กน้อย
นอกจากนี้ ไทยยังมีความได้เปรียบในด้านสัดส่วน การใช้วัตถุดิบในประเทศ (Regional Value Content) ที่สูง ทำให้สินค้าไทยมีโอกาสเสียภาษีในอัตราต่ำเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าคู่แข่ง ผู้ส่งออกไทยมีความได้เปรียบด้านราคา ประกอบกับตัวเลขการส่งออกที่ดีมาโดยตลอด แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีหลังก็ตาม
มาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ
รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นก้อนใหญ่ไปแล้วมูลค่า 157,000 ล้านบาท (ใช้ไปแล้วประมาณ 130,000 ล้านบาท) ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 ของปีหน้า ส่วนจะมีการออกมาตรการเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น ต้องรอประเมินตามสถานการณ์อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็เป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาช่วยเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมองว่ายังมีพื้นที่ (Space) เพียงพอสำหรับการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมได้อีกหากมีความเหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
สำหรับความกังวลด้านเสถียรภาพทางการคลังนั้น มองว่ายังไม่น่าเป็นห่วง โดยชี้ว่าพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ยังมีอยู่ เห็นได้จากตัวเลข หนี้สาธารณะต่อ GDP ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 64% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบเกือบ 10 เดือน สะท้อนว่า GDP เติบโตเร็วกว่าหนี้
ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้
ส่วนประเด็นภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 9% กว่า ซึ่งยังต่ำกว่าเกณฑ์ปลอดภัยที่ 10% นั้น แม้อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่หากเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีและรัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้สัดส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
ทั้งนี้ การประเมินเครดิตเรตติ้งไม่ได้ดูเพียงสัดส่วนหนี้เพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาจากหลายมิติ ทั้งศักยภาพการเติบโต โครงการลงทุน และนโยบายของรัฐบาลประกอบกันด้วย
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก สะท้อนจากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนอย่างต่อเนื่องผ่านการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) และการสร้างแรงจูงใจทั้งทางภาษีและไม่ใช่ภาษี
หนึ่งในนโยบายสำคัญคือ ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อเป็นหมุดหมายในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลก พร้อมกันนี้ ได้สร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะบริหารงานได้จนครบวาระ เดินหน้านโยบายต่างๆ ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยไม่กังวลว่าประเด็นทางการเมืองจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน