ชำแหละ 5 ฉากทัศน์การเมืองไทย เดิมพันเศรษฐกิจผ่านตำแหน่งนายกฯ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นเรื่องเสถียรภาพการเมืองไทย หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดยแบ่งเป็น 4 ฉากทัศน์ ประกอบด้วย
หากนายกรัฐมนตรีชิงลาออกก่อน ต้องโหวตนายกฯใหม่มาทำหน้าที่ ซึ่งกว่าจะได้ตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และกว่าจะแถลงนโยบายต้องใช้เวลาเป็นเดือน มองว่า หากเกิดสุญญากาศทางการเมือง จะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน รวมถึงความเชื่อมั่นจากทั้งในและนอกประเทศหรือไม่ อย่างไร
ภาคเอกชนคงไม่ต้องการให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองขึ้นในประเทศไทย ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงและซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้านในช่วงเวลานี้ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน และอาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุน สะท้อนจากตัวเลขในช่วง 9 เดือนแรก (ต.ค. 67 - มิ.ย. 68) มีการเบิกจ่ายเพียง 370,330 ล้านบาท หรือ 39.8% ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 80%
สถานการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้ขาดเม็ดเงินขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี (GDP) ชะลอตัว อีกทั้งความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายสำคัญ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ,การแก้ไขปัญหาชายแดน ,การแก้ไขปัญหาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่ต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจ
ขณะเดียวกันไทยจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรักษาตัวเลขการลงทุนและภาพลักษณ์ของประเทศในระยะยาว
หากเกิดกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่ผิด รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และบริหารประเทศต่อ จะเกิดวิกฤตศรัทธาต่อตัวนายกหรือไม่ อย่างไร
การตัดสินดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพและความมั่นใจให้แก่ทั้งภาคธุรกิจ นักลงทุน รวมถึงประชาชนโดยรวม อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่การสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนยังคงเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ การเดินหน้านโยบายที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การสร้างงาน และการดูแลคุณภาพชีวิต จะเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจต่อรัฐบาลในระยะยาว
กรณีวินิจฉัยว่านายกฯทำผิด ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง และ ครม.ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด สภาผู้แทนต้องลงมติเพื่อเลือกนายกฯคนใหม่ตามรายชื่อแคนดิเดตที่เหลืออยู่ และอาจได้เห็นการจับขั้วรัฐบาลใหม่ ทิศทางการเมืองอาจเปลี่ยนแปลง ทำให้การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ จะส่งผลกระทบตามมาอย่างไร
เสถียรภาพทางการเมืองถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะการเมืองที่มั่นคงช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนพัฒนานโยบายระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาไทยต้องเผชิญกับวิกฤตการเมืองหลายครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สะท้อนจากตัวเลข GDP ไทยที่ขยายตัวต่ำกว่าคู่แข่งในช่วงหลังที่ผ่านมา
ดังนั้นสิ่งที่ควรจะเป็นในระบบการเมืองไทยเพื่อเอื้อต่อการพัฒนาประเทศ คือการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ สามารถดำเนินนโยบายระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงภาคการเมืองไทยจะต้องเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยการเคารพหลักการของประชาธิปไตยและกฎหมายอย่างเข้มงวด
กรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ชิงยุบสภาฯ ก่อนศาลตัดสิน (มองว่ามีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด)
ตามข่าวเข้าใจว่า ครม. นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ได้มีการพิจารณาประเด็นอำนาจของรักษาการนายกรัฐมนตรีว่าจะสามารถยุบสภาได้หรือไม่ โดยท่านเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีการแจ้งให้ที่ประชุม ครม. ทราบว่า จากการศึกษาข้อมูลทางวิชาการของกฤษฎีกามีความเห็นว่า รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถยุบสภาได้
การเมืองไทยที่ขาดเสถียรภาพ ขณะที่ไทยมีปัญหาการค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านทั้งกัมพูชา และเมียนมา และต้องเร่งแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกับกัมพูชา ที่คาดว่าจะยังคงยืดเยื้อ ขณะที่การค้าไทยสหรัฐภายใต้ดีลภาษี 19% มีแนวโน้มชะลอตัวลงในเดือนที่เหลือปีนี้ คาดจะมีผลให้ทั้งปีนี้เศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทย รวมถึง การส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ในอัตราเท่าใด
กกร. ได้มีการประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มที่ GDP จะขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 2-3% โดยมีอานิสงส์จากการเจรจาการค้าส่งผลให้ไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่ 19% ทำให้เบื้องต้นไทยไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฉพาะการส่งออกแผ่วลงหลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออก การแข่งขันด้านราคาที่มากขึ้น
ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกดดันรายได้ผู้ส่งออก ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนรวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองลดทอนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ปัจจัยดังกล่าวนี้อาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจปีนี้มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ชัดเจน และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งภาคเอกชนจะต้องเร่งปรับตัวเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจในช่วงเวลานี้