ลูกบ้า-อยากรวย ของ 'ยอด ชินสุภัคกุล' พลังขับเคลื่อน LINE MAN Wongnai สู่ยูนิคอร์น
วันนี้แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้มีแค่รีวิวร้านอาหาร แต่ยังครอบคลุมธุรกิจ Food Delivery, Ride-hailing, e-Payment และโซลูชันสำหรับร้านอาหาร (POS) เชื่อมโยงผู้บริโภค ร้านค้า และคนขับเข้าด้วยกัน
LINE MAN Wongnai ก้าวสู่การเป็น “ยูนิคอร์น” อย่างเป็นทางการในปี 2565 หลังการระดมทุนรอบ Series B ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังคงเดินหน้าสร้าง Ecosystem ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้และพันธมิตรธุรกิจ โดยมี นายยอด ชินสุภัคกุล ซีอีโอ LINE MAN Wongnai เป็นหัวเรือใหญ่ในการนำพาองค์กรฝ่าคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลง
ตลอดเส้นทางชีวิตและธุรกิจที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาย้อนเล่าถึงวันแรกที่ตัดสินใจก้าวเข้ามาในสนามสตาร์ตอัพเมื่อกว่า 15 ปีก่อน “วันนั้นสิ่งที่ขับเคลื่อนผมไม่ใช่วิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่ของ Super App หรือ Ecosystem อะไรหรอก แต่เป็น ‘ลูกบ้าและความอยากรวยเป็นหลัก’ เท่านั้นเอง ในฐานะวิศวกร เขามองตัวเองเป็นเพียง “ช่างประกอบเครื่อง” ที่มีเป้าหมายเรียบง่ายที่สุด นั่นคือการทำเว็บไซต์รีวิวร้านอาหารให้ดีที่สุด
“ผมมันวิศวกรนะ ผมมองตัวเองเป็นช่างซ่อมเครื่อง เป็นช่างประกอบเครื่อง วันนั้นแค่คิดอย่างเดียวว่าทำเว็บไซต์รีวิวร้านอาหารให้ดีที่สุด ก็น่าจะมีคนใช้เยอะ แล้วน่าจะทำให้เรารวยได้ คิดแค่นั้น”
แต่เส้นทางจริงไม่ง่ายอย่างที่คิด สองปีแรกของ Wongnai ไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียว ยอดใช้เงินเก็บจนหมดและต้องหันไปพึ่งพ่อแม่เพื่อขอยืมเงินมาจ่ายเงินเดือนพนักงาน “ช่วง 2 ปีแรกไม่มีรายได้ ใช้เงินตัวเองจนหมดไปแล้ว แล้วก็ต้องไปยืมพ่อแม่มาเพื่อจ่ายเงินเดือนพนักงาน ขณะที่ตอนนั้นแฟนทำร้านเค้กเปิด 7 สาขา หาเงินได้ตั้งเยอะ ผมก็อายนะ ก็คิดอยู่ว่าแบบจะเลิกดีมั้ย จะเลิกดีมั้ย คิดบ่อยมาก”
อย่างไรก็ตาม ความโชคดีของเขาคือมีผู้ร่วมก่อตั้งที่ไม่เคยปริปากพูดถึงคำว่า “เลิก” เลย “โชคดีที่ผมกับ co-founder ไม่มีใครเคยคุยเรื่องเลิกเลย เพราะเกิดมีคนนึงพูดขึ้นมาสงสัยเลิกกันหมด”
เมื่อธุรกิจค่อย ๆ เติบโตขึ้น ยอดก็ได้เรียนรู้บทบาทใหม่ของการเป็นผู้นำ เขาพบว่าภาพลักษณ์ของซีอีโอคือภาพลักษณ์ขององค์กร “คนเริ่มมองเราเป็นภาพมากกว่าเป็นคนจริง ๆ เขาไม่รู้จักเรา เขาเห็นภาพว่าพี่ยอดเดินไปเดินมาหน้าตาสดใสหรือเปล่า” นั่นทำให้เขาต้องหันกลับมาดูแลสุขภาพกายใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่ส่งผลต่อกำลังใจของทีมและแม้กระทั่งมูลค่าของบริษัท
ในการสร้างทีม ยอดยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาใช้วิธีการที่เรียกได้ว่า “ล้างสมอง” “เราล้างสมองตัวเองเรียบร้อยแล้ว เราล้างสมอง co-founder เรียบร้อยแล้ว แล้วก็ล้างสมองน้องๆ ทีละคนทีละคนที่เข้ามา ให้เขาเห็นภาพแบบที่เราเห็น เราต้องทำให้ทุกคนอยู่ในโลกของเราให้ได้”
ทว่าท่ามกลางความกดดันในสนามธุรกิจ ยอดกลับค้นพบว่าแหล่งพลังงานที่แท้จริงอยู่ในบ้าน เขาเล่าด้วยรอยยิ้มว่า “การที่เราจะทำงานใหญ่ ที่บ้านมันต้องนิ่งนิดนึง เขาไม่เคยมาถามว่าแบบ ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ดีหรือเปล่า” การสนับสนุนเงียบๆ จากครอบครัวคือพื้นที่ปลอดภัยที่ทำให้เขามีแรงกลับมาสู้ใหม่ทุกวัน
มองไปข้างหน้า ยอดประกาศเป้าหมายชัดเจนว่า LINE MAN Wongnai ต้องก้าวสู่การเป็น “AI-Driven Company” “ควรจะ Target Global Player ตั้งแต่ต้น… เราจะเป็น AI-Driven Company” เขาเผยว่าปัจจุบันบริษัทนำ AI มาช่วยตอบคำถามลูกค้าแล้วกว่า 25% และนี่คือจุดเริ่มต้นของการปรับตัวครั้งใหญ่ ที่ทำให้เขาอยากกลับมามี Mindset แบบสตาร์ทอัพอีกครั้ง
นายยอด ยังได้ฝากบทเรียนที่สั้นแต่กินใจที่สุดไว้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ “ความใจกว้าง คือสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ ถึงแม้ว่าเราจะจน เราก็ยังต้องใจกว้าง เลี้ยงข้าวน้อง ๆ ซัพพอร์ตทีมเป็นคนสุดท้าย ผมว่าคนเค้าดูว่าเถ้าแก่คนเนี้ย เขาจะตามไปได้หรือเปล่า”
จากชายหนุ่มที่เริ่มต้นด้วยความอยากรวยและลูกบ้า วันนี้ “ยอด ชินสุภัคกุล” ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสตาร์ทอัพหมื่นล้าน แต่สิ่งที่เขาฝากไว้กลับไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ของบริษัท หากคือบทเรียนจากความล้มลุกคลุกคลาน ความซื่อสัตย์ต่อทีม และความใจกว้างที่พิสูจน์คุณค่าได้ยิ่งกว่าเงินทอง