“ลิซา คุก” ผู้ว่าการเฟด เตรียมฟ้องคดี หลังทรัมป์สั่งปลดพ้นตำแหน่ง
เกิดศึกกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ หลังทรัมป์ประกาศปลด ลิซา คุก ฐานพฤติกรรมเกี่ยวกับการจำนองบ้าน ขณะที่เฟดย้ำสมาชิกมีวาระ 14 ปีและไม่อาจถูกปลดได้ง่าย ความพยายามดังกล่าวเพิ่มแรงกังวลต่อความเป็นอิสระของเฟด
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เวลา 05.01 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทนายความของลิซา คุก (Lisa Cook) ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เปิดเผยว่า ลิซา คุก เตรียมยื่นฟ้องเพื่อป้องกันไม่ให้โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ปลดเธอออกจากตำแหน่ง นับเป็นจุดเริ่มต้นของศึกทางกฎหมายที่จะยืดเยื้อเกี่ยวกับความพยายามของทำเนียบขาวในการเข้ามากำหนดทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐ
แอบบี โลเวลล์ (Abbe Lowell) ทนายความชื่อดังในกรุงวอชิงตันของ ลิซา คุก ระบุในแถลงการณ์ว่า “ความพยายามของเขาที่จะปลดเธอโดยอ้างเพียงจดหมายแนะนำ ปราศจากข้อเท็จจริงหรือฐานทางกฎหมายใด ๆ เราจะยื่นฟ้องเพื่อท้าทายการกระทำที่ผิดกฎหมายนี้”
ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะปลดลิซา คุก ซึ่งเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่นั่งในคณะผู้ว่าการเฟด โดยกล่าวหาว่าเธอมีพฤติกรรมหลอกลวงและอาจเข้าข่ายอาชญากรรมเกี่ยวกับการจำนองบ้านที่ทำไว้เมื่อปี 2564 ความพยายามดังกล่าวนับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ 111 ปีของเฟด ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระทางนโยบายการเงิน และสะท้อนถึงแนวทางของทรัมป์ที่มักจะทำลายบรรทัดฐานและบีบให้ฝ่ายตรงข้ามต้องต่อสู้ในศาล
กรณีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวอื่น ๆ ของทรัมป์ในการรวบอำนาจรัฐภายใต้การควบคุมของทำเนียบขาว ตั้งแต่กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งในเดือนมกราคม เขาได้ผลักดันให้เจ้าหน้าที่รัฐหลายแสนคนลาออก ยุบหน่วยงานบางแห่ง และระงับการใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ที่สภาคองเกรสอนุมัติไว้
“เราต้องการคนที่โปร่งใส 100% และดูเหมือนว่าเธอไม่ใช่แบบนั้น …คนเก่ง ๆ” หลายรายในใจที่จะมารับตำแหน่งแทนคุก แต่ก็ย้ำว่าจะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลหากเธอยังคงอยู่ในตำแหน่ง
ตลอดการดำรงตำแหน่งครั้งแรกในทำเนียบขาว ทรัมป์กดดันให้เฟดลดดอกเบี้ย และได้เร่งรัดมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ยหลายเปอร์เซ็นต์ และขู่ว่าจะปลดเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด แม้ในภายหลังจะถอยกลับไปก็ตาม การจากตำแหน่งของคุกจะทำให้ทรัมป์สามารถแต่งตั้งคนของตนเองเข้าไปครองเสียงข้างมากในบอร์ดผู้ว่าการทั้ง 7 คน ซึ่งรวมถึง 2 ตำแหน่งที่ดำรงอยู่แล้ว
และการเสนอชื่อสตีเฟน มิแรน นักเศรษฐศาสตร์ทำเนียบขาว สำหรับตำแหน่งชั่วคราวที่กำลังจะหมดอายุในเดือนมกราคม ทั้งนี้วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า เดวิด มัลพาส อดีตประธานธนาคารโลกและพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์ ก็อยู่ในข่ายผู้ถูกพิจารณาด้วย
เฟดออกแถลงการณ์ย้ำว่า ลิซา คุก และคณะกรรมการผู้ว่าการคนอื่น ๆ มีวาระ 14 ปี และไม่สามารถถูกถอดออกได้ง่าย เพื่อคงไว้ซึ่งการตัดสินใจเชิงนโยบายที่อิงข้อมูลเศรษฐกิจและผลประโยชน์ระยะยาวของประชาชนอเมริกัน แม้ทรัมป์กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่าคำสั่งปลดมีผลทันที แต่เฟดยังคงถือว่าสถานะของคุกไม่เปลี่ยนแปลง และเธอยังสามารถเข้าร่วมการประชุมกำหนดนโยบายดอกเบี้ยครั้งถัดไปในวันที่ 16–17 กันยายน เว้นแต่จะมีคำสั่งศาลออกมาก่อนหน้านั้น
ความพยายามดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลเรื่องความเป็นอิสระของเฟด ส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนในวันอังคาร ดัชนีหุ้นสหรัฐปิดบวกเล็กน้อย ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับชันขึ้น
ทรัมป์ระบุในจดหมายถึงคุกว่าเขามีเหตุผลเพียงพอที่จะปลดเธอ เนื่องจากเธอระบุว่าบ้านในรัฐมิชิแกนและจอร์เจียเป็นที่อยู่อาศัยหลัก พร้อมกันในเอกสารกู้จำนอง ก่อนเข้ารับตำแหน่งในเฟดเมื่อปี 2565 ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ปลดผู้หญิงผิวสีที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาลหลายคนแล้ว เช่น ผู้อำนวยการหอสมุดรัฐสภา และประธานคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ
วิลเลียม พัลท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกำกับดูแลการเงินด้านที่อยู่อาศัย (FHFA) ซึ่งเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยทรัมป์ เป็นคนแรกที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการจำนองของคุกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และส่งเรื่องต่อไปยังแพเมลา บอนดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อสอบสวน แต่บอนดียังไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ โดยคุกทำสัญญาจำนองทั้งสองฉบับในช่วงที่ยังเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
ตามกฎหมายธนาคารกลางสหรัฐปี 1913 กำหนดว่าวาระของผู้ว่าการกินเวลาถึง 14 ปี และสามารถถูกถอดออกได้ด้วยเหตุผลอันสมควร แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการทดสอบข้อกฎหมายนี้มาก่อน โดยทั่วไปประธานาธิบดีมักหลีกเลี่ยงไม่แทรกแซงเฟดเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของตลาด
ปีเตอร์ คอนติ-บราวน์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เฟดจากวอร์ตัน สกูล แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ระบุว่า การทำธุรกรรมจำนองดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่คุกจะได้รับการแต่งตั้งและได้รับการยืนยันจากวุฒิสภาแล้ว “แนวคิดที่ว่าจะย้อนกลับไปอ้างเรื่องในอดีตเพื่อปลดออกจากตำแหน่งปัจจุบัน ถือว่าขัดกับแนวคิดของการถอดถอนด้วยเหตุผลอันสมควร”
งานวิจัยทางวิชาการชี้ว่า การดำเนินนโยบายการเงินอย่างอิสระจากการเมืองช่วยให้ควบคุมเงินเฟ้อและเศรษฐกิจได้มีเสถียรภาพมากกว่า ทิม ดอย นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก SGH Macro Advisors กล่าวว่า“เฟดในสมัยทรัมป์รอบแรกยังรอดพ้นจากผลกระทบได้ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่โชคดีเช่นนั้น”
อ้างอิง : reuters.com