สรุปคำชี้แจง "นายกฯแพทองธาร" ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ปมคลิปเสียงหลุด
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติและอ่านคำวินิจฉัย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประเด็นคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ในวันที่ 29 ส.ค. 2568 ที่จะถึงนี้
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้รับคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ น.ส.แพทองธาร ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ที่ว่าขาดความซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่
น.ส.แพทองธาร ยืนยัน
การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2564
การกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด
ชี้แจง 2 ข้อกล่าวหาหลัก
"อยากได้อะไรดีให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้"
เจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ตามหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา
ไม่ได้มีเจตนาดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณี แม้ สมเด็จฮุน เซน เสนอให้ฝ่ายไทยยอมเปิดด่านก่อน ฝ่ายกัมพูชาจะหลังจากนั้นภายใน 5 ชั่วโมง แต่ข้าพเจ้าก็เสนอกลับไปว่า ให้เปิดด่านพร้อมกัน
สมเด็จฮุน เซนไม่ได้ตอบรับหรือยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้มีการตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของสมเด็จฮุน เซน เช่นเดียวกัน เนื่องจากข้อเสนอใด ๆ จะต้องไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อน เพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ
"กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็นฝั่งตรงข้าม"
นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุน เซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่าน เนื่องจากไม่พอใจแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการเฉพาะเจาะจง
ข้าพเจ้าจึงจำต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบ หรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทย
แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติ และไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ และป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
เมื่อเกิดความเข้าใจผิด ข้าพเจ้ากล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 และแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ติดใจคลิปเสียงของข้าพเจ้า
ไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำงานของกองทัพ
ไม่เรียกร้องผลประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัว
น.ส.แพทองธาร ระบุว่า ความตั้งใจเดียวของข้าพเจ้าตลอดบทสนทนา เป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่า ไม่มีข้อความตอนใดที่ข้าพเจ้าเรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัว หรือ ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
ขอไต่สวนพยานผู้เชี่ยวชาญ 5 ราย
น.ส.แพทองธาร ยืนยัน พยานทั้ง 5 ราย มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงของประเทศและตามแนวชายแดนปัจจุบัน บางรายมีประสบการณ์ในอดีตทั้งความมั่นคงและการต่างประเทศ
1. ฉัตรชัย บางชวด - เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้ทำงานร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ และเป็นบุคคลที่ทราบถึงเจตนาอันแท้จริงของนายกฯ ในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน
2. อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ - ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน
3. พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ - ข้าราชการบำนาญที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา ทำงานด้านปฏิบัติในกัมพูชามาตั้งแต่ยศร้อยโท และทำงานกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพที่ 2 และผู้บัญชาการรบพิเศษอย่างต่อเนื่อง
4. พล.ท.พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร - รองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร ในฐานะผู้ชำนาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของทหารและเรื่องอำนาจอธิปไตยของประเทศ
5. ธนาธิป อุปัติศฤงค์ - อดีตทูตไทยประจำญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และรัสเซีย ในฐานะผู้ชำนาญด้านการต่างประเทศและสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงวิธีปฏิบัติทางการทูตในการเจรจาแบบไม่เป็นทางการ
แต่สุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ไต่สวนเลขาธิการ สมช. เพียงรายเดียว
ขอยกเลิกคำสั่งพักงาน
น.ส.แพทองธาร ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ตามที่ผู้ร้องขอให้ศาลสั่งให้เธอหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย เนื่องจากเมื่อคำนึงถึงความเป็นสัดส่วนในความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดปฏิบัติหน้าที่ หากยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ต่อไป ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและอธิปไตยของชาติ นอกจากนี้ ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะบูรณาการเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้สนับสนุนการทำหน้าที่ของฝ่ายทหาร และแสดงถึงความเข้มแข็งภายในชาติ ซึ่งส่งผลเชิงจิตวิทยาแก่กัมพูชาในการรุกรานประเทศไทย
แต่ศาลรัฐธรรมนูญปัดตกคำขอให้ยกเลิกคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
21 ส.ค. 68 ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนพยาน 2 ราย คือ แพทองธาร และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันที่ 21 ส.ค. 68
29 ส.ค. 68 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย