ตุลาการภิวัฒน์ นิติสงคราม: จาก ‘นั่งลงลูก’ ถึงคำพิพากษาที่สังคมตัดสินซ้ำ!
ศาลเคยถูกมองว่าเป็น “ตุลาการภิวัฒน์” เมื่อคำพิพากษาพ้องใจกับฝ่ายหนึ่ง และถูกมองว่าเป็น “นิติสงคราม” เมื่อไม่ตรงใจกับอีกฝ่าย กระทั่งถ้อยคำสั้นๆ ที่กลุ่มหนึ่งยืนยันได้ยินว่า “นั่งลงลูก” ขณะที่อีกกลุ่มบอกว่า “นั่งลงครับ” ก็ยังถูกขยายเป็นชนวนความระแวง ที่ทำให้ทุกคำพิพากษาไม่เคยหยุดอยู่แค่บัลลังก์ หากยังถูกสังคมตัดสินซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
ในสังคมที่อ้างตนว่าถือ กฎหมายเป็นหลัก ช่วงเวลาที่เปิดโปงตัวตนมากที่สุด มิใช่วันที่ทุกฝ่ายต่างพอใจในผลลัพธ์
หากคือวันที่คำพิพากษา ขัดกับความคาดหวัง วันนั้นแหละที่ชี้ชัดว่า ความศรัทธาที่เรามีต่อกระบวนการยุติธรรม ตั้งอยู่บน หลักการ จริงหรือเพียงตั้งอยู่บน ผลที่ถูกใจ
คดี 112 ของ ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่ใช่เพียงการยกฟ้องในเชิงข้อกฎหมาย หากแต่เป็น บททดสอบศรัทธา ของสังคมไทย ว่าเราจะยืนอยู่ข้างหลักการที่มั่นคง หรือปล่อยให้อารมณ์ทางการเมืองเป็นตัวกำหนดท่าทีของเรา
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังคำพิพากษา คือปฏิกิริยาที่สวนทางกันอย่างฉับพลัน ฝ่ายหนึ่งเชิดชูศาล ว่าเป็นหลักประกันของความยุติธรรม อีกฝ่ายกลับไม่เห็นด้วย และตั้งข้อสงสัยว่า ศาลได้เปลี่ยนไปแล้วหรือไม่
เหนือกว่าตัวบทคำพิพากษา คือ ถ้อยคำ ที่แต่ละฝ่ายเลือกหยิบมาเป็นเครื่องมือ เพราะถ้อยคำเหล่านี้สะท้อนร่องรอยทางความคิดการเมืองไทยได้อย่างชัดเจน
ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ ซึ่งเคยใช้คำว่า “สองมาตรฐาน” และ “นิติสงคราม” เพื่อตีความความพ่ายแพ้ในอดีต กลับเปลี่ยนน้ำเสียงทันทีเมื่อผลคดีล่าสุดออกมาเป็นการยกฟ้อง—ศาลถูกยกย่องขึ้นเป็นหลักฐานว่า ความยุติธรรมยังดำรงอยู่
ในทางกลับกัน ฝ่ายตรงข้ามทักษิณโดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษนิยม ที่เคยยกย่องศาลว่าเป็น“ตุลาการภิวัฒน์” ผู้กอบกู้บ้านเมือง กลับไม่อาจรับผลคำพิพากษาครั้งนี้ได้ เสียงวิพากษ์สะท้อน ความหงุดหงิด ไม่เห็นด้วย และหวั่นว่าศาลอาจกำลังเอียง ไปอีกด้าน
นี่คือภาพที่ชี้ให้เห็นว่า ความศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม ของสังคมไทย ยังถูกผูกไว้กับ ผลลัพธ์เฉพาะหน้า มากกว่าหลักการร่วมที่มั่นคง
หลังคำพิพากษายกฟ้อง คดี 112 ของทักษิณ เพียงหนึ่งวัน กระแสจาก ฝ่ายตรงข้ามทักษิณ ปรากฏชัดเจนขึ้น หลายคนใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นพื้นที่ระบายความขุ่นเคือง และตั้งข้อสังเกตว่า ศาลอาจไม่เป็นไปตามที่เคยเชื่อมั่น
สิ่งที่ถูกหยิบมาโยงคือบรรยากาศ ในวันสืบพยานคดีแพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม เสียงสั้นๆ ของตุลาการ—บางคนได้ยินเป็น“นั่งลงครับ” ขณะที่อีกกลุ่มกลับฟังเป็น“นั่งลงลูก”
อย่างไรก็ตามไม่ว่าคำไหนคือความจริง จุดสำคัญคือ การเลือกได้ยินให้สอดรับกับความกังวลของตนเอง จนถูกใช้เป็นสัญญาณว่า ศาลรัฐธรรมนูญอาจเอ็นดูแพทองธาร และจะวินิจฉัยเข้าข้างในวันที่ 29 สิงหาคม!
ที่น่าสังเกตคือ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ก่อน คำพิพากษาคดี 112 หนึ่งวัน แต่ถูกตัดมาเผยแพร่และขยายวง หลังศาลยกฟ้องทักษิณ สะท้อนว่า ความไม่พอใจผลคดี สามารถทำให้ผู้คนหยิบ ถ้อยคำสั้นๆ ไม่ว่าจริงหรือเท็จ มาเป็นเชื้อเพลิงต่อ ความระแวง ได้ง่าย
ใต้ปรากฏการณ์เหล่านี้ คือ กลไกซ้ำซากของการเมืองไทย ที่แทบไม่เคยหยุดทำงาน เมื่อศาลตัดสินเข้าข้าง ผลนั้นถูกยกขึ้นเป็น “ความยุติธรรม” เมื่อศาลตัดสินขัดใจ ผลนั้นถูกลดทอนเหลือเพียง“อคติ”
ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ เคยพึ่งพาคำว่า “สองมาตรฐาน” และ “นิติสงคราม” เพื่ออธิบายความพ่ายแพ้ แต่เมื่อผลล่าสุดเป็นคุณ ก็ตีความทันทีว่าศาลคือ หลักประกันของบ้านเมือง
ฝ่ายตรงข้ามทักษิณ เคยชู “ตุลาการภิวัฒน์” เป็นเกราะป้องกันระบอบการเมืองที่ตนต่อต้าน แต่เมื่อคำตัดสินไม่เป็นไปตามที่หวัง ก็เร่งปรับน้ำเสียงเป็น ความไม่ไว้วางใจ
และเมื่อโลกออนไลน์ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยา เศษเสี้ยวคลิปหรือคำพูดหนึ่งประโยค ก็สามารถถูกขยายความหมายได้เกินกว่าที่มันเป็น นี่คือวงจรที่ทำให้ศาลถูกทำให้กลายเป็น สนามการเมือง มากกว่าพื้นที่ของกฎหมาย
ผลสะสมของท่าทีเหล่านี้คือการทำให้ ความศรัทธาของสังคมพร่าเลือน ลงทีละน้อย ไม่ใช่เพราะศาลปฏิบัติหน้าที่ผิด หากเพราะผู้คนยังคงเลือกที่จะมองศาลผ่านเลนส์ของ ผลได้–ผลเสีย
เมื่อผลคดีเข้าข้างตน ศาลถูกเฉลิมฉลองว่าเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม เมื่อผลคดีขัดใจ ศาลกลับถูกมองว่า เลือกข้าง
พฤติกรรมแบบนี้ค่อยๆ ทำให้ หลักการ กลายเป็นเพียงเงื่อนไขที่แต่ละฝ่ายจะหยิบมาใช้เพื่ออธิบายตนเองเท่านั้น
และเมื่อสังคมไม่เหลือ หลักร่วม ในการยอมรับผลคดี กระบวนการยุติธรรมก็จะถูกมองผ่าน อารมณ์ฝ่ายการเมือง มากกว่าถูกยึดตาม ข้อกฎหมายและเหตุผล
สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า คือ 29 สิงหาคม วันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีคลิปเสียง แพทองธาร–ฮุน เซน นี่คือ บททดสอบครั้งใหญ่ ไม่ใช่เพียงต่อชะตาการเมืองของบุคคล แต่ต่อ ศรัทธาในกระบวนการ ของสังคมทั้งระบบ
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ปฏิกิริยาที่ตามมาก็แทบคาดเดาได้ หากแพทองธารอยู่รอดในตำแหน่ง ฝ่ายตรงข้าม จะส่งเสียงวิพากษ์ทันที หากแพทองธารถูกตัดสินพ้นตำแหน่ง ฝ่ายสนับสนุน ก็พร้อมจะหยิบคำว่า “สองมาตรฐาน” และ “นิติสงคราม” กลับมาใช้อีกครั้ง
สิ่งที่สำคัญที่สุดจึงไม่ใช่เพียงผลคดี แต่คือ ท่าทีของสังคมหลังผลถูกอ่านออกมา ว่าจะสามารถยืนอยู่บน เหตุผลในคำวินิจฉัย หรือยังคงวนเวียนอยู่กับ ถ้อยคำสั้นๆ เพื่อยืนยันฝ่ายของตน
ถัดจาก 29 สิงหาคม คือ 9 กันยายน วันที่ศาลฎีกาฯ จะมีคำสั่งในคดี บังคับโทษชั้น 14 ของทักษิณ สองวันสำคัญนี้เรียงต่อกันอย่างมีนัย จนทุกสายตาไม่อาจละจากศาลได้เลย
แต่ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร บทสะท้อนจากสังคมการเมืองไทยก็ชัดอยู่แล้ว: ศาลมิได้ถูกสร้างมาเพื่อทำให้ทุกคนพอใจ หากเพื่อทำหน้าที่เป็น กรรมการกลาง ของสังคม
ทว่าเมื่อผู้เล่นเลือกจะโต้แย้งกรรมการทุกครั้งที่ผลไม่เข้าข้าง ความเชื่อมั่นในกติกาก็สั่นคลอน ไม่ใช่เพราะกติกาผิดพลาด หากเพราะผู้เล่นไม่เคารพกติกาที่ตัวเองก็อยู่ภายใต้มัน
คดีเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียง ชะตากรรมของบุคคล หากเป็น ภาพสะท้อนเชิงโครงสร้าง ว่าศรัทธาของสังคมไทยยังถูกผูกไว้กับ ผลคดี มากกว่าหลักการร่วม
และตราบใดที่ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ยังดำรงอยู่ คำพิพากษาแต่ละครั้งก็จะยังคงถูก ตัดสินซ้ำโดยสังคม ไม่ใช่เพียงในบัลลังก์ของศาล แต่ใน ทุกพื้นที่สาธารณะของสังคมไทย.