ทำไมอินเดียต้องซื้อน้ำมันรัสเซีย ไม่สนความสัมพันธ์สหรัฐฯ ไม่ก้มหัวสงครามภาษี?
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอินเดีย ถึงจุดตกต่ำ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียถึง 2 ระลอก จาก 25% เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และล่าสุดเพิ่มเป็น 50% เพื่อลงโทษอินเดียที่ยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ในขณะที่ทรัมป์พยายามบีบรัสเซียให้ยอมรับข้อตกลงหยุดยิงและยุติสงครามกับยูเครน
ในเดือนมกราคม หลังจากทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 บรรดานักวิเคราะห์ชาวอินเดียหลายคนพากันแสดงความยินดี เนื่องจากเชื่อว่าความสนิทสนมและเป็นกันเองระหว่างทรัมป์ กับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี จะช่วยปกป้องอินเดียจากนโยบายสงครามการค้าที่สุดโต่งของทรัมป์
ทั้งสองเคยขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงให้กัน และมักเรียกกันและกันว่าเป็นเพื่อน ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ โมดีเป็นหนึ่งในผู้นำโลกกลุ่มแรกๆ ที่ได้เข้าพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาว
แต่ความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ช่วยอะไร และ 6 เดือนหลังจากนั้นอินเดียก็กลายเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่เผชิญอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงที่สุด โดยอัตราภาษีใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 สิงหาคม ในขณะที่อินเดียประณามการขึ้นภาษีของทรัมป์ว่า ‘ไร้ความเป็นธรรม’
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคืออินเดียจะเผชิญผลกระทบจากการขึ้นภาษี 50% รุนแรงแค่ไหน และทำไมรัฐบาลอินเดียยังคงยืนกรานซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และท้ายที่สุดจะสามารถต่อต้านหรือต้องยอมจำนนต่อเกมสงครามภาษีของทรัมป์?
ทำไมสหรัฐฯ ต้องขึ้นภาษีอินเดีย?
สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทรัมป์มองว่าส่งผลกระทบต่อนโยบาย Make America Great Again หรือการทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทั้งในแง่ของภาระที่สหรัฐฯ แบกรับในการให้ความช่วยเหลือทางการทหาร และในแง่ของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้น
ในช่วงหาเสียงก่อนชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 เขาประกาศจะจบสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง และเดินหน้าความพยายามหลังรับตำแหน่งด้วยการเป็นตัวกลางเชื่อมการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่าย
แต่ความพยายามนั้นยังคง ‘ล้มเหลว’ และทำให้ทรัมป์รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปูตินไม่เต็มใจที่จะหยุดการสู้รบหรือทำข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่ได้เงื่อนไขที่เขาพอใจ ซึ่งรวมถึงการให้นานาชาติรับรองดินแดนที่รัสเซียยึดครองหรือผนวกรวมจากยูเครน เช่นแคว้นไครเมียหรือดอนบาส ซึ่งยูเครนและชาติตะวันตกปฏิเสธที่จะรับเงื่อนไข
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมทรัมป์ขู่ว่ารัสเซียจะต้องเผชิญกับมาตรการภาษีศุลกากรขั้นรุนแรงในอัตรา 100% หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงยุติสงครามกับยูเครนได้ภายใน 50 วัน
ภาษีดังกล่าวคือภาษีรอง (Secondary Tariff) ซึ่งหากสหรัฐฯ กำหนดอัตรา 100% หมายความว่าประเทศใดก็ตามที่ทำการค้ากับรัสเซียจะต้องเผชิญกับอัตราภาษี 100% หากต้องการขายสินค้าให้กับสหรัฐฯ โดยถือเป็นมาตรการคว่ำบาตรขั้นที่สองต่อประเทศอื่นๆ ที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งรวมถึงอินเดีย
ขึ้นภาษี 50% ส่งผลกระทบอะไรบ้าง?
สำหรับการส่งออกสินค้าของอินเดียไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 86,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเกือบทั้งหมดอาจสูญเปล่าและไม่สามารถค้าขายได้ หากอัตราภาษี 50% ยังคงอยู่และไม่มีการปรับลด
ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกอินเดียส่วนใหญ่ระบุว่า พวกเขาแทบจะรับมือกับการขึ้นภาษี 10-15%ของสหรัฐฯ ไม่ได้ ดังนั้นภาษีนำเข้า 50% จึงเกินขีดความสามารถในการทำธุรกิจอย่างมาก
บริษัทหลักทรัพย์ Nomura ของญี่ปุ่นมองว่า การบังคับใช้อัตราภาษีนำเข้า 50% ต่ออินเดียนั้นแทบไม่ต่างกับ ‘การคว่ำบาตรทางการค้า’ และจะนำไปสู่การหยุดชะงักอย่างกะทันหันของสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบ
ขณะที่ มาโนรันจัน ชาร์มา (Manoranjan Sharma) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Infomerics Ratings บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียมองว่า การเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในอัตรา 50% จะส่งผลกระทบทั้งต่อ GDP และการจ้างงานของอินเดีย
ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของอินเดีย คิดเป็น 18% ของการส่งออก และ 2.2% ของ GDP
ซึ่งการเก็บภาษีนำเข้า 25% อาจทำให้ GDP อินเดีย ลดลง 0.2-0.4% และเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงต่ำกว่า 6% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม รันจีต เมห์ตา (Ranjeet Mehta) เลขาธิการหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจอินเดียยังมี ‘ความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งมาก’
“นี่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ผมคิดว่านี่เป็นเวลาที่จะต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ และมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เราขอเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลอินเดียและรัฐบาลสหรัฐฯ ร่วมกันเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้” เขากล่าว
ทำไมอินเดียต้องซื้อน้ำมันรัสเซีย?
อินเดียถือเป็นหนึ่งในผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่น้ำมันมากกว่า 85% ต้องพึ่งการนำเข้าน้ำมันจากซัปพลายเออร์ต่างชาติ
โดยปกติแล้ว อินเดียจะพึ่งพาชาติตะวันออกกลางในการจัดหาน้ำมัน เช่น อิรัก ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยในปี 2024 อินเดียมีสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบถึง 45%
อย่างไรก็ตาม สงครามยูเครนที่ปะทุขึ้นในปี 2021 และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของชาติตะวันตก กลายเป็นโอกาสให้อินเดียสามารถซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียได้ในราคาลดพิเศษ
ขณะที่ราคาน้ำมันที่ถูกกว่า ส่งผลให้ต้นทุนของโรงกลั่นน้ำมันในอินเดียลดลง โดยข้อมูลที่จากกระทรวงพาณิชย์อินเดีย พบว่าในปี 2024 สัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมดของอินเดียเกือบ 36% มาจากรัสเซีย เพิ่มขึ้นจากประมาณ 2% ก่อนเกิดสงครามในยูเครน
แต่ข้อได้เปรียบด้านราคาน้ำมันรัสเซียเริ่มลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยลดลงจากราว14% ในปีงบประมาณ 2023-2024 เหลือประมาณ 7% ในปี 2024-2025
อย่างไรก็ตาม น้ำมันราคาถูกจากรัสเซียยังคงมีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่ออินเดีย
ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าการซื้อน้ำมันดิบรัสเซียของอินเดีย เป็นอีกแรงผลักดันที่ส่งเสริมความพยายามในการทำสงครามรุกรานยูเครนของรัสเซีย
ที่ผ่านมา แม้ว่าพันธมิตรชาติตะวันตกจะพยายามขัดขวางรายได้จากการส่งออกพลังงานของรัสเซีย โดยกำหนดหลายมาตรการเพื่อคว่ำบาตร แต่รัสเซียก็สามารถเปลี่ยนเส้นทางขายพลังงานจากยุโรปไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงอินเดียและจีนได้
นอกเหนือจากเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ยังมีข้อพิจารณาทางด้านเศรษฐกิจด้วย
ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ มองว่า การที่อินเดียมีอัตราภาษีศุลกากรที่สูงและมีมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Barriers) นั้น หมายความว่าสหรัฐฯ เป็นฝ่ายที่ส่งเงินดอลลาร์จำนวนมากไปซื้อสินค้าอินเดียในสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ขณะที่อินเดียเองก็ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย
หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?
รัฐบาลอินเดียแถลงว่าการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ นั้น “เป็นเรื่องน่าเศร้า”
“เราขอย้ำว่าการกระทำเหล่านี้ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นธรรม และไม่มีเหตุผล” รันธีร์ ไจสวาล (Randhir Jaiswal) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินเดียระบุในแถลงการณ์ พร้อมเสริมว่า อินเดียจะดำเนินการทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
เขายังระบุว่า “อินเดียได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่าการนำเข้าของประเทศนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการตลาด และเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายโดยรวมในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประชาชน 1.4 พันล้านคน”
แอชลีย์ เทลลิส จากมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตัน มองว่าอัตราภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นนี้ จะส่งผลให้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก โดยเธอเชื่อว่าแรงกดดันจากทรัมป์จะส่งผลให้ท้ายที่สุดอินเดียต้องยอมลดการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
“ตอนนี้อินเดียกำลังตกอยู่ในกับดักเนื่องจากแรงกดดันจากทรัมป์ โมดีจะลดการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แต่เขาไม่สามารถยอมรับต่อสาธารณะได้ เพราะกลัวว่าจะถูกมองว่ายอมจำนนต่อการแบล็กเมลของทรัมป์”
อ้างอิง:
- https://www.aljazeera.com/news/2025/8/6/us-india-relations-hit-new-low-despite-trump-modi-bromance-whats-next
- https://www.channelnewsasia.com/asia/why-india-buys-russian-oil-us-tariffs-china-cna-explains-5282611
- https://www.bbc.com/news/articles/c1dxr1g4y7yo
- https://www.bbc.com/news/articles/c1w83j35jjjo