โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

แนะร้านอาหารพลิกเกมสู้วิกฤต สตรีทฟู้ด-แผงลอย ชิงยอดขาย ไตรมาส 4

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 16 ชั่วโมงที่ผ่านมา

การชะลอตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีความเปราะบาง ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจร้านอาหารที่มีมูลค่ากว่า 5.62 แสนล้านบาท (ศูนย์วิจัยกสิกร)ในทุกเซ็กเม้นท์ สัญญาณเตือนที่เกิดขึ้นคือการหายไปของ “ร้านอาหาร Street Food แผงลอย” ราว 50% ที่แม้จะใช้เงินลงทุนต่ำ แต่ก็ไม่สามารถยืนต้านกระแสได้ในครึ่งปีแรก

ล่าสุดสถานการณ์วิกฤตร้านอาหารยังลุกลามไปยังกลุ่ม Casual Dining และ Fine Dining ที่รายได้เริ่มถดถอย ไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซันของธุรกิจจึงเป็นโค้งท้ายที่ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับแผนรับมือ

นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในไตรมาส 4 นี้ภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารยังคงอยู่ในภาวะไม่แน่นอน แม้จะเป็นช่วงไฮซีซั่น และมีความหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวจากการที่ประชาชนเริ่มมีการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนในตอนนี้

กลยุทธ์การทำตลาดที่เห็นคือ ผู้ประกอบการร้านอาหารเริ่มปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่ เพื่อให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการปรับรูปแบบร้านให้เรียบง่าย (minimalist) เน้นเมนูที่ทันสมัย ร้านหลายแห่งเริ่มใช้กลยุทธ์ใหม่ในการจัดลำดับเมนู เช่น ร้านอาหารอีสานที่มักจะเริ่มต้นเมนูด้วยของหวานและเครื่องดื่มก่อน เพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้ลูกค้าสั่งเพิ่ม

อีกหนึ่งกลยุทธ์ คือ การเจาะเข้ากลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจเรื่องของสุขภาพ ด้วยเมนูที่หลากหลาย การบริการที่สะดวก รวดเร็ว การปรับลดราคาการให้บริการบุฟเฟต์ที่ตั้งราคาต่อหัวที่ไม่สูงเกินไป

อัดโปร สร้างแบรนด์ผ่านโซเชียล

“มีการใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้กลับมาบ่อยขึ้น เช่น การโปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์และการใช้การตลาดเชิงพาณิชย์ผ่านโซเชียลมีเดีย บริการเดลิเวอรีผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น LINE MAN หรือ GrabFood เพื่อให้ร้านอาหารเข้าถึงลูกค้าในทุกช่องทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

อย่างไรก็ดี ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา แม้จะมีการเติบโตราว 2.8% แต่ยังห่างไกลจากคาดการณ์เดิมเมื่อต้นปีที่ 4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญมาจาก สภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังไม่ดีขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ รวมถึง การท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดย 7 เดือนที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 6% ส่งผลให้การใช้จ่ายในภาคร้านอาหารลดลงนอกจากนี้ ต้นทุนของธุรกิจยังคงมีความผันผวนทั้งเรื่องของวัตถุดิบ ค่าแรง ฯลฯ

เมนูใหม่ แตกต่างจากคู่แข่ง

นางสาวชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด กล่าวว่า ไตรมาส 4 กลยุทธ์การตลาดจะเน้นนำเสนอเมนูในรูปแบบใหม่หรือที่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความตื่นเต้น การสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าจะอยากกลับมา เน้นการให้บริการและบรรยากาศที่ดี พร้อมกับรสชาติอาหารที่มีคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและกลับมา

การขยายความหลากหลายของแบรนด์และเมนูใหม่ เปิดแบรนด์ใหม่ในเครือที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าหลายกลุ่ม และรีโนเวตร้านเพื่อให้บรรยากาศน่าสนใจ รวมทั้งใช้โซเชียลมีเดีย เช่น TikTok และ Instagram ในการโปรโมทเมนูใหม่ ๆ และกิจกรรมที่น่าสนใจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักคือ Gen Z และ Gen Y ที่สำคัญเพิ่มความคุ้มค่าให้ลูกค้าเสนอโปรโมชั่น ส่วนลด เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย

“ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภคยังมีความกังวลและไม่กล้าใช้จ่ายมากนัก แต่ก็พบว่า ไตรมาส 4 มีแนวโน้มว่า ผู้บริโภคเริ่มกล้าใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะจากการมีนักท่องเที่ยวจีนและอาหรับที่เพิ่มขึ้น การท่องเที่ยว ถือเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในช่วงปลายปีและปีหน้า”

ชะลอลงทุนเม็ดเงินสูงหา M&A แทน

นายณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัทในกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาดในครึ่งปีหลัง บริษัทได้ปรับแผนการลงทุนและขยายสาขาอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หรือการเปิดสาขาใหม่ที่ใช้เม็ดเงินสูง

โดยชะลอการเปิดสาขาในช่วงครึ่งปีหลังลง 10% หรือประมาณ 10 สาขา จากเป้าหมายเดิมที่เคยวางไว้ราว 120-130 สาขา โดยจะเน้นเปิดสาขาในโลเคชั่นที่มั่นใจว่าจะสร้างกำไรได้จริง และเน้นแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเครือเป็นหลัก ซึ่งจะใช้เงินลงทุนราว 1,000-1,200 ล้านบาท รวมทั้งเน้นการบริหารจัดการเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรักษาความมั่นคงของบริษัทในระยะยาว

อย่างไรก็ดี กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ บริษัทยังหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายพอร์ตโฟลิโอให้ครอบคลุม และยังคงมองหาแบรนด์ที่มีศักยภาพเข้ามาเสริมทัพ โดยแต่ละปีบริษัทลงทุนในรูปแบบ M&A เฉลี่ย 2 แบรนด์ แต่ในปีนี้ยังไม่มีการเซ็นสัญญากับแบรนด์ใด เนื่องจากสภาพตลาดและต้องมองหาแบรนด์ที่ต้องมีศักยภาพรอบด้าน

“ตลาดชาบูและปิ้งย่างยังคงเป็นที่สนใจ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาอย่างดุเดือด แต่ก็ยังมีช่องว่างสำหรับผู้เล่นที่มีความโดดเด่นและมีโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง”

เพิ่มโมเดล-ขยายเวลาทำเงิน

นายธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การขยายธุรกิจจากนี้จะเน้นไปที่การขยายแฟรนไชส์ในประเทศให้ครอบคลุม จากเดิมที่มี 3 แบรนด์แฟรนไชส์เรือธงจะเพิ่มเป็น 6 แบรนด์ นอกจากนี้ยังได้ทดลองพัฒนารูปแบบร้านใหม่ๆ เช่น Dairy Queen stand-alone modular store ที่เปิดร่วมกับร้านสะดวกซื้อและมีที่จอดรถ ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายและบริการช่วงกลางคืน โดยโมเดลนี้สร้างยอดขายสูงกว่าร้านปกติถึง 15-20%

ขณะที่ตลาดต่างประเทศบริษัทยังคงเดินหน้าขยายสาขาโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย ที่มีการขยายสาขาแดรี่ ควีน และ กาก้า (GAGA) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตลาดศักยภาพอื่นๆในจีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV โดยมีแบรนด์หลักอย่าง เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์และเดอะ คอฟฟี่ คลับ เป็นหัวหอกสำคัญ

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนพัฒนาและขยายแบรนด์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์อาหารที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการพัฒนาแบรนด์ขึ้นเอง การร่วมลงทุนกับพันธมิตร หรือการเข้าซื้อกิจการแบรนด์ที่มีศักยภาพ โดยล่าสุด มีการเปิดตัวแบรนด์ “เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ (The STEAK & MORE)” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นเอง เพื่อจับตลาดสเต็กในราคาที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย

Grab อัดแคมเปญลดภาระ-กระตุ้นยอด

นายพนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคที่ทุกคนเริ่มรัดเข็มขัด โดยมองหาสินค้าและบริการที่ยังคงคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ แกร็บฟู้ดจึงได้จัดแคมเปญใหญ่ ‘GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง’ โดยดีลส่วนลดภายใต้ซับแบรนด์ Hot Deals กว่า 2.5 แสนดีลสูงสุดเท่าที่เคยมี

โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ร้านค้าทั่วประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่เชนร้านอาหารขนาดใหญ่ สตรีทฟู้ดเจ้าเด็ด ไปจนถึงร้านดังเจ้าอร่อยภายใต้แฟลกชิปแบรนด์อย่าง #GrabThumbsUp และ Only at Grab สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักที่เรามุ่งนำเสนอความคุ้มค่า ควบคู่ไปกับคุณภาพและความหลากหลายของอาหาร เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงมื้ออร่อยกับเมนูคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าที่สุด

แคมเปญ “GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง” ยังมีพาร์ทเนอร์ ร้านค้ารายย่อยที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเข้าร่วมเพิ่มขึ้นสูงขึ้นกว่า 40% จากไตรมาสแรก นอกจากจะเป็นการเพิ่มตัวเลือกที่หลากหลายและครอบคลุมให้กับผู้บริโภคแล้ว ยังช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดเล็กและรายย่อย โดยเฉพาะในช่วงสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวด้วย

LINE MAN เผยกำลังซื้อหดยอดขายร้านอาหารลด

นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า ยอดขายร้านอาหารแบบ same store เปรียบเทียบปีต่อปี เฉพาะยอดขายหน้าร้าน (ไม่รวม Food Delivery) ไตรมาส 2 ปี 66 - 67 ยอดขายต่อเดือน same store ลดลงจาก 186,000 บาท เหลือ 180,000 บาท หรือลดลง 3%และไตรมาส 2 ปี 67-68 ยอดขายต่อเดือน same store ลดลงจาก 180,000 บาท เหลือ 154,000 บาท หรือลดลง 14%

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อร้านอาหารในปีนี้ คือ การลดลงของนักท่องเที่ยว เหตุการณ์เศรษฐกิจตลาดทุนที่ซบเซา และการเมืองทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งเริ่มส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศ สำหรับช่องทางดิจิทัล ยอดขาย Food Delivery เติบโตจาก 27% เมื่อปี 2567 มาเป็น 29% ในครึ่งปีแรกของ ปี 2568 แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายช่องทางนี้ยังไม่สามารถทดแทนการลดลงของยอดขายหน้าร้านได้

ครึ่งปีจดทะเบียนเลิกกิจการ 276 ราย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนเลิกกิจการในครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีจำนวน 6,244 ราย เพิ่มขึ้น 205 ราย (3.39%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (6,039 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกกิจการสะสมอยู่ที่ 30,544 ล้านบาท ลดลง 46,205 ล้านบาท (-60.20%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (76,748 ล้านบาท)

โดยครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จดทะเบียนเลิกกิจการจำนวน 276 ราย คิดเป็นสัดส่วน 4.42% จากจำนวนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2568

ขณะที่ การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวน 1,468 ราย เพิ่มขึ้น 52 ราย (3.67%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 (1,416 ราย) โดยมีธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 74 ราย มีทุนจดทะเบียนเลิกกิจการ 177 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.04% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนมิถุนายน 2568

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

ดิ เอิร์ธ ครูว์แนะใช้ Creative Influencer's Strategist สร้างธุรกิจ

27 นาทีที่แล้ว

ออกประกาศ “แรงงานกัมพูชา” อยู่ไทยต่อ 6 เดือน ผ่อนผันใบอนุญาตทำงาน

55 นาทีที่แล้ว

สแกนงบประมาณปี 2569 “คมนาคม” รับจัดสรร 1.85 แสนล้าน ถูกหั่นงบ 795 ล้าน

57 นาทีที่แล้ว

“แพทองธาร” ลงใต้ดินหลบสื่อออกสภาฯ หลังศาลรธน.นัดตัดสิน 29 ส.ค.

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่นๆ

ชาวนาเฮ! นบข. เคาะแจกเงินช่วยข้าวนาปี-นาปรัง ไร่ละ 1,000 บาท สูงสุด 10 ไร่

TNN ช่อง16

ปตท.แจงกำไรQ2วูบ39.9%อยู่ที่2.15หมื่นล้านบาท

Manager Online

เริ่มเลย! BBL ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ช่วยกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจ

PostToday

ดิ เอิร์ธ ครูว์แนะใช้ Creative Influencer's Strategist สร้างธุรกิจ

ฐานเศรษฐกิจ

พลาดแล้วจะเสียใจ ธอส. ขายบ้านมือสอง ลดสูงสุด 50% ราคาต่ำสุด 125,000 บาท

สยามนิวส์

แบงก์กรุงเทพ ลดดอกเงินกู้ 0.25% กระตุ้นเศรษฐกิจ มีผล 14 ส.ค.นี้

อีจัน

เอกชนขอบคุณจากใจกนง. ลดดอกเบี้ย 0.25% ช่วยเอสเอ็มอี รับกังวลบาทแข็งโป๊ก

เดลินิวส์

นบข.เคาะแจกเงินช่วยข้าวนาปี-นาปรัง ไร่ละ 1,000 บาท สูงสุด 10 ไร่

Thai PBS

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...