ทรัมป์ภูมิใจเป็น "ปธน.แห่งสันติภาพ" หลังไกล่เกลี่ยไทย-กัมพูชา
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลส่วนตัว ระบุว่า "ผมเพิ่งได้พูดคุยกับรักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และยินดีที่จะประกาศว่า หลังจากที่ 'ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์' เข้ามามีส่วนร่วม ทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงและสันติภาพ ขอแสดงความยินดีกับทุกท่าน! การยุติสงครามครั้งนี้ได้ช่วยชีวิตผู้คนไว้หลายพันคน ผมได้สั่งการให้ทีมของผมเริ่มต้นการเจรจาเรื่องการค้าใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ผมได้ยุติสงครามหลายสงครามภายในเวลาเพียงหกเดือน ผมภูมิใจที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ!"
ด้านนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ในฐานะประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือประธานอาเซียน ก็เป็นหนึ่งในคนกลางผู้ทำหน้าที่เจรจาไกล่เกลี่ย ระหว่าง นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา กับรักษาการนายกรัฐมนตรีภูมิธรรม เวชยชัย ของไทย ที่บ้านพักอย่างเป็นทางการของเขาใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ในมาเลเซีย ก่อนจะออกมาประกาศการหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทยอย่างเป็นทางการ
โดยเมื่อวันเสาร์ ทรัมป์ได้ประกาศต่อกรณีข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาว่า สหรัฐฯ จะไม่ทำข้อตกลงการค้ากับทั้งสองประเทศ หากความขัดแย้งชายแดนที่นองเลือดยังคงดำเนินต่อไป และเชื่อว่าการเจรจาหยุดหยิงและเสรีภาพครั้งนี้มีผลสำเร็จเนื่องจากคำขู่ดังกล่าว
นอกจากนี้ทรัมป์ยังยกย่องวีรกรรมทางการทูตของตนเอง ในระหว่างการพบปะทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ด้วย
ด้านสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้น ทรัมป์ระบุว่าเขาได้กำหนดเส้นตายใหม่ให้กับฝ่ายรัสเซีย จากเดิม 50 วัน เป็น 10 - 12 วัน เพื่อให้รัสเซียบรรลุข้อตกลงสันติภาพในสงครามกับยูเครน มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรครั้งใหม่ที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความผิดหวังที่เขามีต่อประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ที่ทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อออกไป
ล่าสุดทรัมป์ยังแสดงความคิดเห็นที่สวนทางกับประธานาธิบดีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ด้วยการยอมรับว่าแฯวนกาซากำลังเผชิญกับภาวะอดอยากอย่างรุนแรง และมีเพียงการหยุดยิงโดยสมบูรณ์เท่านั้นที่จะทำให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นทั้งหมดถูกส่งไปถึงผู้ที่ต้องการอย่างเร่งด่วน
ก่อนหน้านี้ทรัมป์ยังได้รับการเสนอชื่อจากรัฐบาลปากีสถาน ให้เป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยอ้างถึงการแทรกแซงทางการทูตที่เด็ดขาดของเขาภายหลังเหตุรุนแรงระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อต้นปีนี้ ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดสงครามในวงกว้าง