"เอ็มเคสุกี้" ราคาพุ่งติดจรวด! "โบนัสสุกี้"จุดพลุหม้อสุกี้บุฟเฟต์เดือด

อัพเดต 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M" ปิดการซื้อขายในช่วงเช้านี้ (14 ก.ค.68) อยู่ที่ 19.70 บาท เพิ่มขึ้น 2.30 บาท คิดเป็น +13.22% มูลค่าการซื้อขาย 314.38 ล้านบาท โดยราคาขึ้นสูงสุด 20.10 บาทและลดลงต่ำสุด 18.40 บาท ราคาพุ่งแรงรับ BONUS SUKI

"บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M" หลังปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่เรียกว่าสร้างเซอร์ไพรส์ไม่หยุด เริ่มตั้งแต่ปรับโลโก้ที่ทันสมัย ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งและยืดหยุ่น พร้อมกับการโดดมาเล่นตลาด"บุฟเฟต์" อย่างชัดเจน ด้วยจังหวะที่เหมาะสมกับช่วงที่เศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง และฐานแฟนคลับ "เอ็มเคสุกี้" ยังคงเหนียวแน่น กระแส"บุฟเฟต์" ของเอ็มเคจึงฟีเวอร์ทันที

ไม่แน่ใจว่ายอดขายในช่วงที่ผ่านมาพุ่งแรงแค่ไหน เพราะล่าสุด "เอ็มเคกรุ๊ป" ส่งแบรนด์สุกี้น้องใหม่ "โบนัสสุกี้ (BONUS SUKI)" อัดโปรโมชั่นบุฟเฟต์ตีตลาดคู่แข่งแบบจัดเต็ม พร้อมเปิดชิมลางสาขาแรกโรบินสัน สระบุรี เตรียมเปิดอย่างเป็นทางการ 16 กรกฎาคมนี้

แน่นอนว่า เกมหม้อสุกี้เดือดนี้ไม่จบลงง่ายๆ เพราะหากร้านใหม่ได้รับการตอบรับที่ดี ไม่แน่ว่า "โบนัสสุกี้" อาจปูพรมไปทั่วประเทศ หรืออาจแทนที่สาขาที่ไม่ทำรายได้ของเอ็มเคสุกี้ก็เป็นได้ เพราะสามารถใช้ไลน์ผลิตและระบบโลจิสติกส์ของ "เอ็มเคกรุ๊ป" ได้ทันที

ที่พิเศษสุดคือ "เอ็มเค กรุ๊ป" คิดสูตรน้ำจิ้มใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์แบบฉบับของ "โบนัสสุกี้" เท่านั้น

สิ่งที่น่าติดตามคือ ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของ"เอ็มเคกรุ๊ป" จะออกมาในรูปแบบไหน โปรโมชั่นบุฟเฟต์ "MK คุ้มคุ้ม อิ่มไม่อั้น! 299 บาท" ที่ปล่อยออกมาในช่วง 22 วันในเดือนมิถุนายน ก่อนขยายเพิ่มอีก 1 เดือนสิ้นสุด 31 กรกฎาคมนี้จะสร้างอิทธิฤทธิ์ต่อยอดขายมากน้อยเพียงใด

หากแต่.. ผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 เอ็มเคกรุ๊ปและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 3,541 ล้านบาท ลดลง 405 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 10.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนรายได้จากการขายและบริการในแต่ละช่องทางมีสัดส่วนค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมาจากช่องทางรับประทานที่ร้านเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 84 ของรายได้จากการขายและบริการทั้งหมด

ทั้งนี้ยอดขายสาขาเดิมก็ได้ปรับลดลงร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจร้านอาหาร

"กำไรขั้นต้น" หมายถึงรายได้จากการขายและบริการหักด้วยต้นทุนขายและบริการซึ่งรวมถึงต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าจัดเก็บสินค้า ในไตรมาส 1/2568 มีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 2,353 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สัดส่วนกำไรขั้นต้นต่อรายได้จากการขายและบริการก็ได้ปรับลดลงจากร้อยละ 67.6 ในไตรมาส 1/2567 เป็นร้อยละ 66.5 ในไตรมาสนี้เนื่องจากบริษัทมีการจัดทำโปรโมชั่นเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย และต้นทุนวัตถุดิบบางประเภทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

เมื่อเทียบกับ "ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร" ที่สำคัญประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินถาวรและค่าตัดจำหน่าย ในไตรมาส 1/2568 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 2,147 ล้านบาท ปรับลดลง 177 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายพนักงาน เนื่องจากมีการบริหารจัดการแรงงานเพื่อให้สอดคล้องกับรายได้จากการขายที่ปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม "อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวม" ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57.6 ในไตรมาส 1/2567 เป็นร้อยละ 59.2 ในไตรมาสนี้สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายการตลาด เนื่องจากมีการจัดทำโปรโมชั่นมากขึ้นเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆมีการปรับตัวลดลง แต่อาจไม่ได้ปรับลดลงตามสัดส่วนการลดลงของรายได้จากการขายและบริการ เช่น ค่าเช่า ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน เป็นต้น จึงยังส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

จากปัจจัยต่างๆซึ่งมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน "เอ็มเค กรุ๊ป" มีกำไรสุทธิลดลงจาก 347 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2567 เป็น 234 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568 ลดลง 113 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 32.6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น "M" หลังเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Bonus Suki ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดบุฟเฟต์สุกี้อย่างเป็นทางการของบริษัท ช่วยขยายฐานลูกค้าโดยไม่ส่งผลกระทบต่อแบรนด์ MK Suki เดิม

ฝ่ายวิเคราะห์ยังไม่ได้รวมผลกระทบของโปรโมชั่นและการเปิดตัวแบรนด์ใหม่เข้าไปในการคาดการณ์ แต่มองเห็นศักยภาพในการเพิ่มผลกำไรจากการขยายแบรนด์ใหม่ในระยะยาว เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้และอัตรากำไรของธุรกิจหลัก