เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,070-1,095 จุด โดยแม้ Sentiment ต่างประเทศจะยังค่อนไปในทางบวกจากความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ FED ที่สูงขึ้น แต่ยังถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศ โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯช่วงวันศุกร์ แม้ Core PCE สหรัฐฯ เดือน พ.ค. จะออกมาสูงกว่าคาดที่ +0.2% m-m, +2.7% y-y แต่ตัวเลขรายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลพลิกมา -0.4% m-m และ -0.1% m-m ตามลำดับ ซึ่งผิดจากที่ตลาดคาดว่าจะเติบโต
ขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์มิชิแกนชะลอตัวลงเล็กน้อย ส่งผลให้ตลาดคาดหวังมากขึ้นว่า FED อาจปรับลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 2 ครั้งปีนี้ (สูงกว่า Dot Plot ที่มอง 2 ครั้ง) ส่งผลให้ Bond Yield ยังทรงตัวในระดับต่ำหลังจากปรับลงต่อเนื่องในสัปดาห์ก่อน อย่างไรก็ตามปัจจัยกดดันยังคงอยู่ในประเทศ โดยติดตามการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯสัปดาห์นี้ว่าจะสามารถลดภาษีตอบโต้ลงเหลือ 18% หรือต่ำกว่าได้ตามที่ตลาดคาดหวังหรือไม่ รวมถึงประเด็นการเมืองที่ยังไม่แน่นอน โดยพรุ่งนี้ติดตามศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับ/ไม่รับคำร้องปมคลิปสนทนาของนายกฯ รวมถึงจะสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ขณะที่สภาฯจะเปิดสมัยประชุมอีกครั้ง ภาพรวมวันนี้คาดว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีจะยังจำกัด โดยรวมเรายังเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนวโน้มกำไรแข็งแรง และกระทบจำกัดจากความเสี่ยงต่างๆ
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย. : CPALL, MTC, OSP, SJWD, STECON
FSSIA Portfolio : BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่นวันนี้ : ITC
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 15 บาท
• คาดกำไร 2Q25 ที่ 737 ลบ. ฟื้นตัว 9% q-q จากคำสั่งซื้อดีทั้ง EU และ US และแนวโน้ม 3Q25 ยังดีต่อจากคำสั่งซื้อที่ดีต่อเนื่อง q-q ล่าสุดได้มี secured orders ราว 30-40% ของเป้าแล้ว และไม่มีผลกรระทบ tariff
• เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2025 ลง 7% เป็น 3.1 พันลบ. -13% y-y เพื่อสะท้อนกำไร 1H25 ที่ต่ำกว่าเคยคาด แต่ราคาหุ้นที่ปรับลงกว่า 53% YTD จนปัจจุบันเทรด PER เพียง 10 เท่า และคาด Dividend Yield 7.4% เรามองว่าน่าสนใจซื้อลงทุนระยะกลางยาว
• แนวรับ 10.50//10 บาท แนวต้าน 11-11.20//11.70-12 บาท
ด้าน บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมิน SET กรอบแนวรับ 1,060 – 1,070 โดยมีแนวต้านที่ 1,090 – 1,100 คาดดัชนีมีโอกาสทรงตัว ระหว่างรอศาล รธน.พิจารณาผลการคำร้องกรณีจริยธรรมของนายก ฯ ในวันพรุ่งนี้ รวมถึงการเจราการค้าไทย – สหรัฐ แนะนำเลือกพักเงินในกลุ่มปลอดภัย เช่น CPALL,GULF,BDMS/ CENTEL,ERW รับเที่ยวไทยคนละครึ่ง 1 ก.ค./ ADVANC, TRUE ผลประมูลคลื่นช่วยลดต้นทุนของ AIS ปีละ 2 – 3 พัน ลบ. และ TRUE ปีละราว 4 – 5 พัน ลบ.
CKP* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 3.92 บาท) ผลประกอบการ 1Q68 มีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท ลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล แต่พลิกจากขาดทุนใน 1Q67 ซึ่งดีกว่าคาด ขณะที่ 2Q68-3Q68 กำไรจะฟื้นตัวต่อเนื่อง QoQ จากปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนน้ำงึม 2 (NN2) และปริมาณน้ำโขงที่ไหลผ่านเขื่อนไซยะบุรีเพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล ส่งผลให้ภาพรวมปี 68 กำไรอิงจาก consensus ของตลาดจะสามารถเติบโตได้ในระดับ 1.7 พันล้านบาท (+26%YoY) โดยคาดหวังว่าจะไม่มีการหยุดผลิตไฟฟ้าของโครงการไซยะบุรีเหนือนกับปีก่อน ขณะที่ต้นทุนทางการมีแนวโน้มลดลง
KCG* (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 11.17 บาท) กำไรสุทธิ 1Q68 อยู่ที่ 122 ลบ.(+71%YoY, -25%QoQ) อ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล แต่ YoY โตได้หนุนจากสินค้ากลุ่ม Food and Bakery Ingredient ด้าน KCG* เอง วางเป้ารายได้ปี68นี้ +High Single Digit%YoY ปัจจัยขับเคลื่อนหลักจะมาจากสินค้าใหม่ๆ การหาตัวแทนกระจายสินค้าเพิ่มเติม และการให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ ขณะที่ในส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่ายคาดว่าจะได้ประโยชน์จาก Solar Roof รวมถึงการเปิดใช้งาน KCG Logistic Park ทั้งนี้ ตลาดคาดกำไรสุทธิ KCG* ปี68 และ69 จะอยู่ที่ 458 ลบ.(+13%YoY) และ 517 ลบ.(+13%YoY)
ขณะที่ ดาโอ คาดดัชนีฯ ผันผวนจะตัวแปรการเมือง และการเจรจาการค้าช่วงโค้งสุดท้าย โดยตลาดหุ้นไทย คาดมีความผันผวนจากประเด็นการเมืองในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรี (คลิปเสียง) การชุมนุมทางการเมือง และจะมีการเตรียมอภิปรายรัฐบาล ขณะที่ การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯช่วงโค้งสุดท้าย ผลส่วนใหญ่ถูกคาดว่าจะออกมาดี ซึ่งจะเป็นการปลด lock ปัจจัยที่เกาะติดกับตลาดมาตั้งแต่ 2 เม.ย. คาดกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ไว้ที่ 1070-1110 จุด
• ตลาดหุ้นต่างประเทศ ตลาดเบนความสนใจจากเรื่องของอิหร่าน แต่จะให้น้ำหนักไปในเรื่อง การรายงานกำไรงวด 2Q การลดดอกเบี้ยของ Fed (เดือน ก.ค. หรือ ก.ย. กันแน่) ตัวเลข PMI ของจีน และสหรัฐฯ จะมีวันหยุด ช่วงปลายสัปดาห์นี้ (4 ก.ค.)
• สถานการณ์ อิหร่าน-อิสราเอลคลี่คลาย เป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ดัชนีฯ ดีดตัวกลับ โดยก่อนการเริ่มโจมตีอิหร่านโดยอิสราเอล ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 1122 จุด ….. เรามองว่า สงครามที่ยุติลง เป็นผลดีต่อหุ้น กลุ่มปิโตรเคมี ผู้ใช้น้ำมัน และโรงไฟฟ้า
• การเมืองไทย ใกล้ตัวที่สุดคือ เริ่มมีการชุมนุมทางการเมืองแล้ว ขณะที่ประเด็นหลักต้องติดตามคือ ศาลรัฐธรรมนูญ จะรับ/ไม่รับคำร้องถอดถอนนายกฯ ในวันที่ 1 ก.ค. และหากรับคำร้องจำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เลยหรือไม่ พร้อมประเด็นของนายทักษิณ ที่จะมีการสืบพยานคดีม.112 (1-3) และไต่สวนพยานคดีชั้น 14(4) ทั้งนี้ การเปิดสมัยประชุมสภาฯ จะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. รอติดตามภูมิใจไทยจะยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ได้หรือไม่
• รมว.คลังและคณะเดินทางเข้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ได้คิวเข้าพบแล้ว …. จากกระแสข่าว มีโอกาสสูงที่ การเจรจาสามารถหารือข้อตกลงร่วมกันได้ และอัตราภาษีนำเข้าอาจต่ำกว่าที่เรียกเก็บเดิม 36%
• นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. พร้อมที่จะจัดการกับความผันผวนที่มากเกินไปของค่าเงินบาท โดยจะดูแลการเคลื่อนไหวใดๆ ที่ "ไม่สอดคล้อง" กับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ความเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 5% ในปีนี้ ล่าสุด 32.5 บาท/ดอลล่าร์
• การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF และเงินเข้าใหม่ที่จะลงทุนกองทุน TESGX วันสุดท้าย 30 มิ.ย. 68
• การทำ rebalance หุ้น SET50-SET100 ในวันที่ 30 มิ.ย. มีผล 1 ก.ค.68 . #SET50 หุ้นเข้า : BCP, KKP, TCAP, TIDLOR และ หุ้นออก : BGRIM, GLOBAL, ITC, SAWAD ……. ด้าน SET100 หุ้นเข้า : AURA, JTS, MBK, TFG, TOA, WHAUP และ หุ้นออก : CKP, COCOCO, ROJNA, SAPPE, SKY, SNNP
• Event สัปดาห์นี้ : วันสุดท้ายของการซื้อและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เข้ากองทุน TESGX(30), ศาลรธน.ประชุมพิจารณารับ/ไม่รับคำร้องถอดถอนนายกฯ(1), ศาลอาญานัดสืบพยานฝ่ายโจทก์คดีม.112 ของนายทักษิณ ชินวัตร(1-3), วันแรกของการปรับดัชนีฯ SET50/SET100 ครึ่งปีหลัง 2568(1), คดีเปิดสมัยประชุมสภาฯ ปีที่ 3(3), เปิดสมัยการประชุมสภาฯ ปีที่ 3(3), ศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนพยานคดีชั้น 14(4)
Technical : BCH, KAMART
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้