30 อุตสาหกรมไทย เสี่ยงเจ๊ง! 'สินค้าจีน' ทะลักหนีภาษีทรัมป์
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ ”ฐานเศรษฐกิจ“ ถึงประเด็นเรื่องผลกระทบสินค้าจากประเทศจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มมากขึ้น หลังสหรัฐยังคงอัตราเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในระดับสูง ว่า ปัจจุบันตัวเลขอัตราเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาจากประเทศทั่วโลกค่อนข้างชัดเจนแล้วทั้งหมด ยกเว้นประเทศจีนที่ยังมีการขยายเวลาออกไปอีก 90 วัน ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่เดือนพฤศจิกายน
ทั้งนี้ ปัจจุบันตามอัตราภาษีที่จีนถูกเรียกเก็บอยู่คือ 30% เพราะฉะนั้นจึงสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้การส่งออกไปยังสหรัฐลดลง โดยทำให้สินค้าจีนมีการเปลี่ยนเป้าหมายมาตั้งแต่ปี 66 ตั้งแต่นโยบายทรัมป์ 1.0 ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นสินค้าจากจีนก็ไหลทะลักเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โดยจะเห็นว่า 6 เดือนแรกของปี 68 ตัวเลขส่งออกของไทยพุ่งขึ้นกว่า 15% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงมากครั้งหนึ่ง โดยหากดูในรายประเทศจะพบว่ามีการส่งออกไปยังสหรัฐฯจำนวนมากถึงประมาณ 30% ของทั้งหมด หลังจากที่มีการเร่งสั่งออเดอร์ เพื่อให้ได้อัตราภาษีระดับเดิมก่อนที่จะมีเปลี่ยนแปลงซึ่งยังไม่รู้ว่าจะอยู่ที่เท่าไหร่
ขณะที่ไทยมีการนำเข้าจากจีนในระดับ 30% ซึ่งถือว่าสูงพอกัน นี่คือประเด็นปัญหาที่สำคัญ ขณะที่ประเทศจีนประกาศตัวเลขล่าสุดพบว่าครึ่งปี 68 จีนส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าส่งออกไปยังอเมริกาได้ และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกันไปหมด
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ประเด็นปัญหาดังกล่าว ส.อ.ท. พูดมาตลอด 3 ปีว่าอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบโดยเฉพาะเอสเอ็มอี (SMEs) และยังไม่มีมาตรการที่ดีพอในการสกัดกั้นสินค้าที่นำเข้ามาทั้งที่ถูกกฎหมาย และไม่ถูกกฏหมาย หากยังปล่อยไปปีที่แล้ว 24 กลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ แต่ปีนี้จะเพิ่มเป็น 30 กลุ่มอุตสาหกรรมจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรมเป็นอย่างน้อย
“ส.อ.ท. มีการส่งสัญญาณตลอดเวลาว่า แม้ตัวเลขการเรียกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐของไทยจะออกมาที่ 19% โดยถือว่าไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาค และไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)”
อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่าผลกระทบทางอ้อมจะรุนแรงมาก และจะยิ่งเพิ่มขึ้น โดยเวลานี้ถือว่าเห็นผกระทบค่อนข้างชัดเจน และหากยังไม่มีมาตรการป้องกันอะไรเลย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และอุตสาหกรรมไทยจะยิ่งแน่ เพราะเวลานี้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเกือบทุกอุตสาหกรรม และจะยิ่งมีมากขึ้นในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากถามว่าวิธีแก้ไขปัญหาควรจะต้องทำอย่างไร แน่นอนว่าที่ชัดเจนก็คือจะต้องมีมาตรการสกัดกั้นการนำเข้า โดยที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต้องใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าอย่างรวดเร็วและทันเวลา เพื่อป้องกันและสกัดกั้นไม่ให้เกิดความเวียหาย
ส่วนกรมศุลกากรจะต้องมีมาตรการในการตรวจสินค้านำเข้าอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการสำแดงเท็จ หรือการลักลอบนำเข้า เช่นเดียวกับที่บริเวณด่านชายแดนที่มีภูมิประเทศติดต่อซึ่งต้องดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
ขณะที่สินค้าบนช่องทางออนไลน์ก็ต้องมีมาตรการตรวสอบ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีสินค้าที่ลักลอบหนีภาษีมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภค ด้านสินค้าที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่มีตรา มอก. และสินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่มที่ไม่ผ่าน อย. ซึ่งมีการวางจำหน่ายจำนวนมากเหล่านี้ก็ต้องปราบปรามให้หมด
“ประเด็นเหล่านี้เป็นมาตรการที่ ส.อ.ท. ได้ระบุทุกครั้งว่าต้องได้รับการแก้ปัญหา โดยปัจจุบันถึงเวลาที่ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นไทยจะเสียเปรียบ และแข่งขันไม่ได้ในที่สุด โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่จะต้องล้มระเนระนาดเป็นจำนวนมาก”
นายเกรียงไกรกล่าวต่อไปอีกว่า กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60% โดยถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ดี เพราะกำลังการผลิตที่ดีควรจะต้องอยู่ที่ประมาณ 75-80% ซึ่งมีปัจจัยมาจากผลกระทบทางด้านภาษีของสหรัฐฯ ตั้งแต่ทรัมป์ 1.0-2.0 และสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทย