ทำไมแก้ว (ต้อง) หน้าม้า? ตามหาความหมาย “หน้าม้า” ของนางแก้ว
สงสัยกันไหม ในนิทานพื้นบ้าน แก้วหน้าม้า ทำไมนางแก้วต้อง “หน้าม้า” ? ในเมื่อหากจะสื่อถึงพฤติกรรมกระโดกกระเดก ความอัปลักษณ์ หรือลักษณะตรงกันข้ามกับใบหน้างดงามตามค่านิยมของสังคม ก็ยังมี “หน้า” ของสัตว์อื่น ๆ อีกมากมายให้เลือกใช้ เช่น ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรืออะไรก็ตามแต่ผู้ประพันธ์จะเลือกสรร
นั่นแปลว่า “หน้าม้า” หรือหัวม้าของนางแก้วต้องมีนัยมากกว่าการสื่อความข้างต้น
เรื่องนี้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ชลดา เรืองรักษ์ลิขิตศึกษาและอธิบายไว้ในบทความ “ความหมายและบทบาทของหน้าม้าของนางแก้วหน้าม้า”วารสารราชบัณฑิตยสถาน ฉบับเมษายน-มิถุนายน พ.ศ. 2548 ว่า หน้าม้าของนางแก้วคือหัวโขนและหน้ากากที่ใช้ในสังคมไทย และมีส่วนสำคัญในการสร้างบทบาทใหม่ในวงการวรรณคดีไทย คือสร้างนางเอกที่กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง เข้มแข็ง กล้าหาญ และจรรโลงความสงบสุขของครอบครัวและสังคมได้
แก้วหน้าม้า เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านไทยที่แพร่หลายมากเรื่องหนึ่ง แต่งขึ้นในภาคกลาง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง มีสำนวนหลัก ๆ อยู่ 2 สำนวน คือ บทละครนอกเรื่องแก้วหน้าม้าพระนิพนธ์ใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์กับนิทานคำกลอนเรื่อง แก้วหน้าม้า ของนายบุษย์ที่มักนำมาการสร้างเป็นละครโทรทัศน์แนวจักร ๆ วงศ์ ๆ รวมถึงการ์ตูนสำหรับเด็ก
เรื่องย่อ “แก้วหน้าม้า”
เรื่องย่อแก้วหน้าม้าฉบับนิทานคำกลอน ก่อนนางแก้วเกิด พ่อแม่ของนางฝันว่าเทวดามอบ “แก้ว” ให้ พอนางเกิดมามีหน้าอัปลักษณ์เหมือนม้า จึงถูกเรียกว่า “นางแก้วหน้าม้า”แต่มีความรู้เรื่องลมฝน จึงช่วยเพื่อนบ้านให้ทำการเกษตรได้ผลดี
ต่อมา “พระปิ่นทอง”ทรงว่าวจุฬาแล้วทำว่าวขาดลอยไป พอขอว่าวคืนจากนางแก้ว นางขอให้พระปิ่นทองรับนางเป็นชายาเสียก่อนถึงจะคืนว่าวให้ จากนั้นให้บิดามารดาไปทวงสัญญา มเหสีนันทา พระมารดาพระปิ่นทองจึงส่งคนมารับนางแก้วเข้าวัง แต่ท้าวภูวดล พระบิดาต้องการกำจัดนาง สั่งให้ไปชะลอเขาพระสุเมรุมาไว้ในวัง นางแก้วได้พระฤๅษีที่ไปพบระหว่างเดินทางช่วยถอดหน้าม้าให้ และช่วยนางชะลอเขาพระสุเมรุมาได้สำเร็จ
หลังจากนั้นพระปิ่นทองหนีนางแก้วไปแต่งงานกับนางทัศมาลีที่เมืองโรมวิถี ก่อนไปยังสั่งให้นางมีลูกไว้รอท่า นางแก้วจึงตามไปแล้วแปลงเป็นนางมณีรูปงามขออาศัยอยู่กับตายายท้ายเมือง นางมณียั่วยวนพระปิ่นทองจนได้ร่วมอภิรมย์และตั้งท้อง
เมื่อท้าวภูวดลเรียกพระปิ่นทองกลับเมืองมิถิลา พระปิ่นทองมอบแหวนให้ลูกในท้องของนางมณีก่อนเดินทางกลับ แต่ระหว่างทางเกิดหลงเข้าไปในเขตยักษ์พาลราช ผู้ต้องการจับพระปิ่นทองและบริวารกิน นางแก้วจึงแปลงเป็นมานพหนุ่มตามไปช่วยและฆ่ายักษ์พาลราช ได้ธิดายักษ์นามสร้อยสุวรรณและจันทรกลับเมืองมาด้วย
พอพระปิ่นทองถึงมิถิลา นางแก้วนำ “พระปิ่นแก้ว” โอรสมาถวาย ไม่นาน ยักษ์ประกายมาต สหายยักษ์พาลราชก็ยกทัพมาแก้แค้น เป็นเหตุให้ 2 ธิดายักษ์เฉลยกับพระปิ่นทองว่า ทั้งนางแก้ว นางมณี และมานพ คือคนเดียวกัน พระปิ่นทองจึงขอให้นางแก้วช่วยออกรบจนฆ่ายักษ์ประกายมาตได้สำเร็จ ก่อนจะทำกลอุบายให้นางถอดรูปหน้าม้ายอมมาอภิเษกเป็นมเหสี
ต่อมา ยักษ์ประกายกรด สหายยักษ์ประกายมาตยกทัพมาอีก นางมณี (นางแก้ว) จึงต้องนำทัพออกรบทั้งที่ท้องแก่ใกล้คลอด ถูกถีบท้องจนลูกสาวแฝด 3 ทะลักออกมา แต่ยังฆ่ายักษ์ประกายกรดได้
ด้านนางทัศมาลีเดินทางจากโรมวิถีมาตามพระปิ่นทองให้กลับไปอยู่ด้วย แต่นางมณีเกิดหึงหวงและร่วมมือกับนางสร้อยสุวรรณและจันทรวิวาทรุมนางทัศมาลีจนต้องหนีกลับเมือง
ต่อมานางแจ่มจันทร์ หิรัญรัตน์ และประภัสสร ลูกสาวแฝด 3 ของนางมณี ถูกนกหัสดินคาบไปขณะชมสวน ยังดีได้พระฤๅษีมาช่วยให้รอดจากการเป็นอาหารนกและคอยเลี้ยงดู แล้วจึงอภิเษกทั้ง 3 กับ 3 ชายหนุ่ม
ฝ่ายนางทัศมาลีทำเสน่ห์พระปิ่นทองจนแอบหนีนางมณีไป นางมณี สร้อยสุวรรณ และจันทร ตามไปแก้เสน่ห์ แต่พลาดถูกทำอุบายจับตัวไว้ ได้พระปิ่นแก้วกับน้องสาวแฝด 3 ร่วมกับสามีของพวกนางตามไปช่วยและแก้เสน่ห์พระปิ่นทองได้ ทั้งหมดจึงกลับเมืองมิถิลา… เนื้อเรื่องหลักของนางแก้วจบลงตรงนี้ ที่เหลือเป็นเรื่องราวของลูก ๆ ของนาง
ความหมาย “หน้าม้า”
ความหมายเบื้องหลัง “หน้าม้า” ของนางแก้วนั้น อ. ชลดา วิเคราะห์และตีความหมายออกมาได้ถึง 7 ประการ ดังต่อไปนี้
1. การไม่ได้รับการฝึดหัดขัดเกลา
พฤติกรรมของนางแก้ว เทียบกับม้าคือม้าป่ายังไม่เชื่อง เป็นคนก็คือคนที่แสดงออกเสมือนยังไม่ถูกขัดเกลากิริยามารยาท เช่น หัวเราะเสียงดัง ชอบยักคอ (อย่างม้า) กระโดกกระเดก ซุ่มซ่าม ไม่เรียบร้อย ซึ่งเป็นมุมมองหลัก ๆ ที่เราเห็นจากนาง ยกตัวอย่างกลอนสำนวนโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ ในเหตุการณ์ที่นางแก้วดีใจว่าจะมีคนมารับเข้าวัง ดังว่า
“โฉมนางแก้วหน้าม้าอาชาชาติ สมหมายมาตร์ที่ในฤทัยหวัง
ทำลอยพักตร์ยักคอหัวร่อดัง ไม่รอรั้งจัดแจงตกแต่งตัว”
สำนวนบทละครนอกเองมีหลายตอนที่กวีบรรยายว่านางแก้ววิ่งเหมือนม้าพยศ ไม่อยู่นิ่ง เช่น
“พูดพลางลดเลี้ยวเที่ยวเล่น โลดเต้นอื้ออึงประหนึ่งบ้า
ทิ้งลูกจนค่ำไม่นำพา วิ่งไปวิ่งมาเป็นสิงคลี”
อย่างไรก็ตาม ลักษณะซุ่มซ่ามแบบหญิงไม่เรียบร้อยไม่ใช่คุณสมบัติแท้จริงของนางแก้ว เพราะนางเพียงแสดงบทบาทตาม “หน้าม้า” ของนาง คือเล่นตามหัวโขนที่สวมอยู่ เพื่อหยอกล้อคนอื่นรวมถึงพระปิ่นทอง ข้อยืนยันอยู่ในคำกล่าวของพระฤๅษีในบทละครนอกฯ ที่ว่า “คนดีทำบ้ากูน่าชัง”
2. การปิดบังซ่อนเร้นตัวตน
หน้าม้ามีหน้าที่คล้ายหน้ากาก (เหมือนรูปเงาะใน สังข์ทอง) กำบังใบหน้าแท้จริงหรือ “ความงาม” ของนางแก้ว (มณี) เอาไว้ ตัวละครหลายตัวเมื่อรู้ว่าหน้าม้าปิดบังหน้าตาแท้จริงของนางไว้ก็ไม่อยากให้นางสวมหน้าม้าต่อ เช่น พระปิ่นทอง ซึ่งแค้นเคืองหน้าม้าของชายาจนถึงกับแอบเอาไปเผา (แต่ทำอันตรายหน้าม้าไม่ได้)
หรือตอนพระปิ่นทองพานางมณีมาเฝ้าพระบิดากับพระมารดา สองกษัตริย์เห็นความงามของนางแล้วถึงกับตัดพ้อที่นางสวมหน้าม้าซ่อนรูปไว้ ปรากฏในกลอนว่า
“ดูดู๋ยอกย้อนซ่อนรูปทรง พ่อนี้โง่งงเป็นหนักหนา
ได้ลบหลู่ดูถูกลูกยา อย่าถือผิดบิดาเลยดวงใจ
น้อยฤๅรูปราวสาวสวรรค์ น่าชมสมกันจะหาไหน
สวมรูปหน้าม้าไว้ว่าไร น้อยใจหนักหนาเป็นน่าชัง”
“ม้า” ยังถูกใช้ในความหมายถึงการปิดบัง คือคำว่า “ผมม้า” ที่หวีส่วนหนึ่งลงมาปรกหน้าผากในระดับคิ้ว
3. ความอัปลักษณ์และความผิดแปลก
หน้าม้าทำให้นางแก้วเป็นที่รังเกียจชิงชังของผู้พบเห็น ดังความรู้สึกของท้าวภูมิดลเมื่อแรกเห็นที่ว่า “หน้าสักศอกกลอกตาเหมือนม้าเทศ อีคนเปรตอัปยศน่าอดสู”
นอกจากรูปกายภายนอกแล้ว ยังมีพฤติกรรมผิดแปลกที่ไม่เหมาะสม (ในแง่ความเป็นหญิง) เช่น การกล้าต่อปากต่อคำ กล้าขอความรัก และกล้าถูกเนื้อต้องตัวผู้ชาย ตัวอย่างคือเหตุการณ์ที่นางพยายามปลุกปล้ำพระปิ่นทอง ความว่า
“ว่าพลางทางขึ้นบนที่ คลุกคลีเสือกไสเข้าไปอุ้ม
สองมือรวบรัดจับกุม รัดรุมปล้ำปลุกคลุกคลี
วิ่งวางทางตรงเข้ากอดรัด โลมลูบจูบหัตถ์ซ้ายขวา
พ่อเจ้าประคุณของเมียอา พระมังสาหอมระรื่นชื่นใจ”
พฤติกรรมของนางแก้วจึงผิดไปจากบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมแต่โบราณ จนเป็นที่ชิงชังในสังคมที่นิยมผู้หญิงเรียบร้อย ทำให้นางเป็นหญิง “นอกรีตนอกรอย” ไม่ตรงแบบแผนทางสังคม
4. การป้องกันภัยอันตราย
สืบเนื่องจากรูปลักษณ์ดังกล่าว ทำให้นางแก้วเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัย ไม่ถูกคุกคามหรือรังแก อย่างตอนที่พระฤๅษีถอดหน้าม้าให้ แล้วยังบอกให้นางเอาหน้าม้าติดตัวไปด้วย เพื่อป้องกันภัย ดังในกลอนว่า “อันรูปเก่าเอาไปใส่ไว้ด้วย จะได้ช่วยกันภัยหลายสถาน”
ตีความได้ว่า คนสมัยก่อนเองก็เชื่อว่าหน้าตาสวยงามของผู้หญิงจะนำภัยอันตรายมาถึงตัวได้ เป็นความคิดเดียวกับการซ่อนตัวของหญิงไทยช่วงเหตุการณ์เสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 ที่พากันตัดผมสั้นและแต่งกายอย่างผู้ชาย เพื่อป้องกันตัวจากการถูกทหารพม่าข่มเหงรังแก
5. การมีพละกำลัง
หลายเหตุการณ์ในเรื่องบ่งชี้ว่านางแก้วเป็นคนที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไปอย่างมาก ตั้งแต่สามารถแบกเขาพระสุเมรุได้ หรือตอนปลอมตัวเป็นมาณพหนุ่มเพื่อช่วยพระปิ่นทอง ก็ยังสามารถอุ้มสามีได้อย่างคล่องแคล่ว ดังว่า “จึงอุ้มองค์ทรงธรรม์พันปี ขึ้นทรงพาชีฉับพลัน”
สอดคล้องกับความหมายของ “ม้า” ในสังคมไทยที่สัมพันธ์กับเรื่องของพละกำลัง เช่นสำนวน “กำลังม้า” หรือคำว่า “แรงม้า”
6. การมีบุคลิกและนิสัยผู้ชายอยู่ในตัว
สืบเนื่องจากการมีพละกำลังเป็นลักษณะเด่นของผู้ชาย ผู้แต่งบทละครนอกฯ ยังมีวิธีแยบยลสื่อความหมายว่านางแก้วมีบุคลิกแบบผู้ชายอยู่ในตัวด้วย คือมีกิริยาแข็ง ๆ ไม่เรียบร้อยอ่อนโยน ทำให้ผู้พบเห็นนางแก้วครั้งแรกเกิดความไม่แน่ใจว่านางเป็นหญิงหรือชายกันแน่ ตัวอย่างคือตอนนางตามหาเขาพระสุเมรุ เมื่อพระฤๅษีแรกเห็นนางก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเพศใดแน่ ดังว่า
“บัดนั้น พระนักสิทธิ์ปลิดหาพฤกษาฉัน
เห็นสีกามาเคารพอภิวันท์ ทรงธรรม์มุ่งมองป้องพักตรา
ไอกระแอมแย้มเยื้อนพาที ใครนี่มาไยที่ในป่า
กังวลกลใดไขวาจา ประสกฤๅสีกาประการใด”
ความเป็นชายของนางแก้วยังเห็นได้จากลักษณะนิสัยด้วย คือ ความใจกล้าบ้าบิ่น กล้าทำภารกิจเสี่ยงตายมากมายโดยไม่หวั่นกลัว เป็นต้น
7. ความมีน้ำใจเอื้ออารี
จะเห็นว่าตลอดทั้งเรื่องนางแก้วมีจิตใจโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือ และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นอย่างชัดเจน เช่น การยก 2 ธิดายักษ์ (สร้อยสุวรรณ-จันทร) แก่พระปิ่นทอง แม้จะมีความหึงหวงตามแบบนางเอกในนิทานเรื่องอื่น ๆ แต่ทำไปเพราะรู้ว่าพวกนางจะได้รับการคุ้มครองหากได้เป็นชายาพระปิ่นทอง ข้อนี้เหมือนลักษณะของม้าจ่าฝูงที่มีหน้าที่ป้องกันภัยอันตรายแก่สมาชิกในกลุ่ม
นอกจากนี้ อ. ชลดายังวิเคราะห์ว่า หน้าม้ามีคุณสมบัติอันพิเศษที่ทำให้นางแก้วมี 3 รูปลักษณ์ และ 3 บุคลิก ได้เป็นทั้งตัวเอกฝ่ายหญิง ตัวเอกฝ่ายชาย และตัวตลก ซึ่งเป็นบทบาทมากกว่าตัวเอกฝ่ายหญิงในวรรณคดีไทยเรื่องอื่น ๆ อย่างโดดเด่น และในแง่ของการละคร บทบาทสำคัญของหน้าม้ายังทำให้ผู้แสดงทำการแสดงได้ง่ายและสมจริงมากขึ้นไปอีก (ถอด-สวมหน้าม้าได้) ซึ่งทำให้เกิดเอกภาพด้านเนื้อหา
สิ่งเหล่านี้เองทำให้ “แก้วหน้าม้า” เป็นนิทานพื้นบ้านที่ครองใจผู้คนมาอย่างยาวนานไม่เสื่อมคลาย
อ่านเพิ่มเติม :
- “นางประเเดะ” จากเรื่อง “ระเด่นลันได” งามแหวกขนบนางในวรรณคดีไทย
- “ศกุนตลา” กับวิบากกรรมที่ไม่ได้ก่อ ทุกข์ของหญิงคนหนึ่งที่ถูกฉาบด้วยความ “โรแมนติก”
- “ขุนช้างขุนแผน” จากนิทานพื้นบ้าน สู่วรรณกรรมราชสำนัก การแต่งเติมเรื่องราวฉบับพิสดาร
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 สิงหาคม 2568
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ทำไมแก้ว (ต้อง) หน้าม้า? ตามหาความหมาย “หน้าม้า” ของนางแก้ว
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com