โทรหาไม่ว่า แต่บอกก่อนได้ไหม? ส่องเหตุผลที่การรับโทรศัพท์อาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยของทุกคน
ก่อนอื่นต้องยกมือสารภาพ ตัวผู้เขียนเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ ‘ไม่ชอบการรับโทรศัพท์’ และไม่ชอบการคุยโทรศัพท์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นมาตั้งแต่ก่อนยุคที่เราจะสื่อสารกันด้วยการพิมพ์เป็นสำคัญ
ล่าสุด เกิด ‘แนวทาง’ จากคนรุ่นใหม่ว่า การยกหูโทรศัพท์หากัน การจะโทรหากัน ทางที่ดีควรจะต้องบอกกันล่วงหน้าก่อน บางความเห็นจริงจังถึงขนาดบอกว่าเป็น ‘การเสียมารยาท’ ในการโทรหากันโดยไม่บอกก่อน
อันที่จริง การ ‘โทรหากัน’ ในยุคของการแชต เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยามน้อยลงเรื่อยๆ นอกจากเรื่องด่วน ซึ่งเป็นประเด็นว่า ถ้าเรื่องด่วน การจะบอกก่อนโทรจะเป็นเรื่องด่วนได้อย่างไร การยกหูโทรหากันเป็นสิ่งที่ด้วยบริบทโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป การคุยกันแบบฉับพลันทันที โต้ตอบกัน ก็อาจทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นภาระ ไม่ค่อยสบายใจ เกิดกระทั่งภาวะวิตกกังวลที่จะรับและพูดคุยผ่านโทรศัพท์
ซึ่งนอกจากการที่เราชินกับการแชตที่เราควบคุมเนื้อหา การตอบโต้ หรือมีเวลาแก้ไขจัดการได้แล้ว อีกเหตุผลที่เรารู้สึกว่าพื้นที่ของการคุยโทรศัพท์เป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย คือการที่การโทรหากันเป็นเรื่องของสแกมเมอร์หรือการขายสินค้าต่างๆ
Generation Mute วัยรุ่นปิดเสียง
ประเด็นเรื่องการไม่ชอบรับโทรศัพท์ รวมถึงการมองไปจนถึงว่าการรับและคุยโทรศัพท์เป็นเรื่อง คือเป็นเรื่องเป็นราว ต้องเตรียมใจ ดูจะเป็นเรื่องของช่วงวัยเป็นหลัก หลักๆ เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไปจนถึงคนวัยซัก 30 กว่าๆ ยังอยู่ในข่าย เช่น มีการสำรวจว่าคนวัย 18-34 ปี ตั้งใจไม่รับโทรศัพท์เลย และคนกลุ่มเดียวกันระบุว่า 70% เลือกที่จะใช้วิธีแชตเอามากกว่าการพูดคุย
จริงๆ เรื่องการไม่อยากรับโทรศัพท์ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ มีรายงานการศึกษาพบว่าตั้งแต่ช่วงปี 2009 คนเจนวายเองก็เลือกการเท็กซ์ มากกว่าโทร มาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว รายงานนี้มาจากบทความจากสื่อสิงคโปร์ กล่าวว่าในปี 2024 ค่อนข้างพบพฤติกรรมและมีคำอธิบายที่น่าสนใจ รวมถึงบางข้อกังวลซึ่งก็สัมพันธ์ทั้งกับประเด็นเรื่องการสื่อสารในที่ทำงาน และการสื่อสารในครอบครัว
ในภาพรวม ความนิยมในการสื่อสารผ่านการคุยโทรศัพท์ได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เติบโตมาในยุคอินเทอร์เน็ต ที่การสื่อสารกันด้วยตัวอักษรกลายเป็นรูปแบบการสื่อสารหลัก มีรายงานสำคัญเช่นกลุ่มตัวอย่างเจนซี (18-26 ปี) เกือบครึ่ง (49%) ระบุว่าการคุยโทรศัพท์ทำให้รู้สึกกดดันหรือวิตก
ในขณะเดียวกันปรากฏการณ์ตั้งแต่ยุคเจนวาย การคุยโทรศัพท์ก็ค่อยๆ ลดความสำคัญลง เช่น รายงานจากวัยรุ่นอเมริกันในช่วงปี 2011 รายงานว่าวัยรุ่นในขณะนั้นใช้โทรศัพท์คุยกับเพื่อเพียง 26% ซึ่งลดลงจาก 38% ในปี 2009
ทำไมเราถึงวิตกกับการคุยโทรศัพท์
การเลือกแชตมากกว่าโทร ส่วนใหญ่สัมพันธ์ทั้งกับความเคยชินในการแชต ซึ่งกลายเป็นรูปแบบการสื่อสารหลัก ทำให้การโทรคุย กลายเป็นสภาวะที่ควบคุมได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับการแชต การโทรคุยกันมีการจัดการกับความคาดหวัง ในขณะที่การแชตนั้นเป็นการสื่อสารที่เราควบคุมได้มากกว่า มีเวลาคิด มีเวลาแก้ไข ไม่ใช่การตอบสนองโดยฉับพลันทันที เราเลือกเวลาได้ เลือกจังหวะได้
สิ่งที่น่าสนใจคือประเด็นเรื่องพื้นที่ เมื่อเราแชตกันเป็นประจำ และเมื่องาน พื้นที่การทำงานเข้ามาแชตกับเราด้วย การ ‘โทรหา’ มักเกิดขึ้นในบริบทของการทำงาน ความเร่งด่วน หรือเรื่องด่วน ในแง่นี้ การโทรคุยกันโทรมาหากัน จึงมักกลายเป็นเรื่องที่จริงจัง ทำให้การโทรมีนัยของความกดดันและความคาดหวังแฝงอยู่ในรูปแบบการสื่อสารที่เราเคยคุ้นเคยนี้
อีกประเด็นที่น่าจะมาในยุคหลัง คือการที่การโทรศัพท์เข้ามากลายเป็นพื้นที่อันตรายที่เราเองก็ต้องระวังตัวจากการเฟื่องฟูของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการโทรศัพท์มามักเป็นช่องทางของการขายสินค้าต่างๆ ที่มักมีการเร่งรัด เร่งร้อน ต้องตัดสินใจ หรือต้องตั้งใจปฏิเสธ ประกอบกับ เมื่อการพูดคุยธรรมดากลายเป็นการเป็นแชตด้วยข้อความ
ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้การรับโทรศัพท์แต่ละครั้ง กลายเป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยง คับขันและตึงเครียดไปโดยปริยาย
ในบทความจากสิงคโปร์ พูดถึงช่องว่างของวัยไว้ซึ่งน่าจะคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ครอบครัวคนไทยด้วย กล่าวคือคนเจนก่อน เช่น ผู้สูงอายุ ด้วยทั้งเทคนิกและทัศนคติที่ยังชอบการโทรหาอยู่ พบว่าการไม่ชอบรับโทรศัพท์ของลูกหลายกลายเป็นอุปสรรคในการสื่อสารและความสัมพันธ์อยู่บ้าง คือเหงาแหละ อยากพูดคุยอัพเดทกับลูกหลานด้วย
ด้วยหลายเงื่อนไข ในทางเทคนิก เราคนเจนวายและซี อาจจะมีลูกเล่นในการพูดคุยด้วยการแชต มีการกดอีโมจิ การส่งอะไรต่างๆ ที่แพลตฟอร์มทำให้การแชตไม่น่าเบื่อ รวมถึงสายตาที่ยังดี ยังอ่านแชตได้ชัด ในขณะที่ผู้สูงอายุแน่นอนว่าไม่ถนัดการพิมพ์ ไม่ถนัดการอ่าน ทำให้การโทรยังเป็นรูปแบบที่ผู้ใหญ่ชอบมากกว่าการแชต
ในบางบทความก็บอกว่า การแชตอาจจะยังไม่ส่งเสริมความสัมพันธ์ได้ดีเท่ากับการโทรหากัน เช่น การโทรหาคนที่เรารัก พบว่ามีการเพิ่มฮอร์โมนอ็อกโตซิน การได้ยินเสียงซึ่งกันและกัน ทำให้ความสัมพันธ์แนบแน่นขึ้น ต่างฝ่ายต่างมีความสุขขึ้น
สุดท้าย เรื่องแชตไม่โทร หรือโทรต้องแชตก่อน ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการมีปฏิสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งจากอุปกรณ์และช่องทางการสื่อสาร รวมถึงทัศนคติและความแตกต่างของช่วงวัย อย่าลืมว่าสุดท้ายทั้งการแชตและการโทร เป็นเครื่องมือในการสานต่อความสัมพันธ์ ขณะเดียวกันถ้าเป็นเรื่องการงาน การวางขอบเขตที่เหมาะสม การรักษาพื้นที่และเวลาของกันและกันอย่างเหมาะสม ก็เป็นอีกเงื่อนไขสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ของการทำงานเอาไว้
กับในแง่ขอองความกังวล วิตกเวลารับโทรศัพท์ ก็อยากบอกว่า เราเข้าใจ ก็เป็นกันหลายคน เป็นอาการร่วมของยุคสมัย
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Editorial Staff: Paranee Srikham