โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

คุยกับเศรษฐา : เป็นคนตัวใหญ่ต้องให้เยอะ

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

คอลัมน์ : คุยกับเศรษฐา ผู้เขียน : เศรษฐา ทวีสิน

ในฐานะที่เป็นคนไทยเรามีภาพจำว่าประเทศไทยของเราช่างโชคดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เราไม่เคยเจอสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานเหมือนลาว พม่า กัมพูชา โดยเปรียบเทียบแล้วเรามีประสบการณ์เกี่ยวกับสงครามและการสู้รบน้อยมาก แต่ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา อันลุกลามไปสู่การปะทะและการสู้รบขนาดย่อม แม้ไม่ถึงระดับสงคราม แต่ก็นำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์

เหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจที่สุด คือเหตุการณ์ที่กัมพูชายิงจรวดถล่มร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย ภาพแม่ลูกกอดกันเสียชีวิต เหล่านี้ทำให้ผมคิดถึงคำคำหนึ่งที่คนไทยอาจจะไม่ค่อยได้พูดถึงสักเท่าไหร่ นั่นคือคำว่า War-Torn Area ที่แปลว่าบ้านเมืองที่เสียหายถูกทำลายจากสงคราม

เมืองอย่าง Aleppo ของซีเรียคือกรณีศึกษาสำคัญของซากปรักหักพังอันเกิดจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน ความปรักหักพังนี้ไม่ได้เกิดกับตึกรามบ้านช่อง แต่มันคือความปรักหักพังของผู้คน ครอบครัวที่ต้องฉีกขาดออกจากกัน โดยเป็นประสบการณ์ของผมช่วงปี 2561 ที่มีโอกาสได้ไปลงพื้นที่กับยูนิเซฟ เพื่อเยี่ยมผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่หนีสงครามกลางเมืองมายังเลบานอน (ในฐานะตอนนั้นที่แสนสิริเป็นพันธมิตรกับยูนิเซฟ จากการบริจาคเงินเข้ากองทุนฉุกเฉินที่ทางยูนิเซฟสามารถนำไปช่วยเหลือในกรณีภัยพิบัติ หรือสงครามกลางเมืองได้ทันที) วิดีโอของยูนิเซฟ

ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมได้เห็นว่า แม้สงครามจะจบลงแล้ว แต่ภารกิจของการฟื้นฟูเมืองและผู้คนยังต้องทำอย่างต่อเนื่องและยาวนาน มันไม่ใช่แค่ความเสียหายจากลูกระเบิด แต่มันหมายถึงชีวิตคนที่พิการ ไม่มีงานให้ทำ เด็กที่ขาดอาหาร ไม่ได้รับวัคซีน โรคโปลิโอที่เราคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วก็กลับมาระบาดอีก ไม่นับบาดแผลทางใจของผู้คนจากสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด พ่อแม่ที่เสียลูก หรือลูกที่ต้องกำพร้า การดูแลผู้คนเหล่านี้เป็นงานระยะยาวครับ และผมคิดว่าภาคเอกชนของเราที่มีความมั่งคั่งอยู่ในมือควร “แบ่งปัน” ความมั่งคั่งนี้ไปสู่ภาคส่วนที่เปราะบางบ้างตามกำลัง

ภาพเด็ก ๆ ในพื้นที่ “การสู้รบ” ในห้วงเวลาที่ไทยกับกัมพูชามีปัญหากัน การที่เราต้องอพยพผู้คนมาอยู่ในศูนย์พักพิง ทำให้ผมอดคิดถึงเรื่อง War-Torn ไม่ได้ และเห็นว่าแม้ภาครัฐจะพยายามทำงานอย่างเต็มที่ แต่หากภาคเอกชนและธุรกิจร่วมกันคนละไม้คนละมือ มันไม่ใช่แค่เรื่องสังคมสงเคราะห์ระยะสั้น หรือคิดว่าเมื่อหยุดยิงแล้ว ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในทันที คนออกจากศูนย์พักพิงกลับบ้านงานก็จบลง แต่ในความเป็นจริงยังมีงานให้เราเข้าไปช่วยฟื้นฟูชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษาของเด็ก ๆ ทั้งเด็กไทยและเด็กกัมพูชาที่เคยข้ามมาเรียนหนังสือในประเทศของเรา การรักษาพยาบาล คนทั้งไทยทั้งกัมพูชาที่ต้องสูญเสียอาชีพ สูญเสียรายได้ เราจะฟื้นฟูให้พวกเขากลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมหรือกว่าเดิมได้ด้วยวิธีไหนบ้าง

ผมอยากชวนทุกท่านคิดต่อ ว่าเราจะสามารถออกแบบการช่วยเหลือให้ “ตอบโจทย์ที่เปลี่ยนไป” ของผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ใช่เพียงแค่การสนับสนุนในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่รวมถึงการฟื้นฟูในระยะกลาง และการเสริมสร้างความเข้มแข็งในระยะยาว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และจิตใจ เพราะวิกฤตลักษณะนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของการบาดเจ็บหรือสูญเสีย แต่ยังหมายถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ความมั่นคง และอนาคตของหลายครอบครัว ยังไม่ต้องพูดถึงการฟื้นฟู “ความรู้สึกดี ๆ” ต่อเพื่อนบ้านของเรา เพราะผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของสงครามคือความเกลียดชัง

นี่เป็นโจทย์ที่ยากและเป็นความท้าทายของรัฐบาลทั้งในปัจจุบันในอนาคต ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้เพราะผมเป็นมหาเศรษฐีใจบุญ แต่หากเราละเลยเรื่องเหล่านี้ ในอนาคตภาวะปรักหักพังจากสงครามที่เรียกว่า War-Torn ก็กลับมาเป็นปัญหาสังคม และเป็นภาระที่รัฐบาลต้องตามแก้อยู่ดีสิ่งที่เราสูญเสียคือผลิตภาพทางเศรษฐกิจด้วย หากเรามองว่าเขาเหล่านี้คือทรัพยากรมนุษย์ คือผู้สร้าง GDP และคือผู้บริโภคในห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจ

ผมเคยแชร์ใน X ไว้ว่า ถ้าทุกคนคิดว่า “เสียภาษีแล้วก็พอ” แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว ผมอยากบอกว่าในประเทศนี้มีผู้เสียภาษีเพียง 4 ล้านคน รัฐบาลไม่มีทางอุ้มอีกกว่า 70 ล้านชีวิตได้หมดแน่นอนครับ เพราะงบประมาณมีขีดจำกัด แต่หัวใจของเราไม่ได้มีขีดจำกัด ดังนั้น ใครช่วยได้ต้องช่วยกัน มีน้อยก็ให้น้อย มีมากก็ให้มาก แม้วันนี้ไม่มี แต่ถ้าวันหนึ่งมีก็ส่งต่อ

ถ้าท่านยืนอยู่บนปราสาทใหญ่ โปรดมองลงมาให้เห็นชุมชนรอบข้าง เพราะการใส่ใจคือพลัง และส่วนการใส่เงินก็คือการช่วยเหลือในอีกรูปแบบหนึ่ง ผมเชื่อครับว่า ถึงวันหนึ่ง “คนตัวใหญ่” จะยื่นมือให้ “คนตัวเล็ก” ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาแค่อยู่ได้ แต่เพื่อให้พวกเราอยู่รอดไปด้วยกัน

ภาวะ War-Torn ไม่ได้มีแต่ที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่การสู้รบเพิ่งจบลงเท่านั้น อย่าลืมว่าเรามีพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เผชิญกับบาดแผลจากความรุนแรงของความขัดแย้งที่เรายังไม่กล้านิยามว่าเป็นสงคราม “ภายใน” เรายังมีชายแดนที่ติดกับเมียนมา ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบของกองกำลังชนกลุ่มน้อย ทั้งสู้กันเอง สู้กับรัฐบาลกลาง และผลกระทบนั้นก็ทะลักเข้ามาในฝั่งไทยในรูปแบบคนผู้ลี้ภัยสงคราม โรงพยาบาลอย่างโรงพยาบาลแม่สอดต้องรับภาระของการดูแลผู้ป่วยไร้สัญชาติจำนวนมาก เป็นที่มาของความเหนื่อยล้าท้อแท้ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอยู่ชายแดน ดังที่เราได้ยินเสียงสะท้อนมาอยู่เนือง ๆ

ตอนที่ผมอยู่ในตำแหน่งทางการเมือง ผมก็พยายามหาทางแก้ไขปัญหาจากวิธีบริหารประเทศและงบประมาณ แต่ถ้าผมลองมองในมุมภาคเอกชน ผมก็คิดว่าผมหาทางช่วยเหลือได้สองแบบคือ ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เราทุกคนเห็นปัญหาเหล่านั้นที่เราอาจมองข้าม และเมื่อได้เห็นภาพแล้ว ผมหวังว่าภาคธุรกิจ ภาคเอกชน ของเราจะรู้จักอยากเข้ามามีส่วนร่วมในการเสริมพลังในการฟื้นฟูสังคม และโอบอุ้มเพื่อนร่วมชาติของเรามากขึ้นและมากขึ้น

ผมยังยืนยันว่า เมื่อเรามีเยอะเราต้องให้ครับ นอกจากจะให้เป็นเงิน ยังมีการให้ที่ยั่งยืนกว่าเงิน คือภาคเอกชน สามารถไปทำโครงข่ายภาคีร่วมกับท้องถิ่น หรือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐทำในสิ่งที่เป็นความถนัด หรือความเชี่ยวชาญของเรา หาทางซื้อผลผลิตทางการเกษตรของท้องถิ่นมาใช้งานในธุรกิจของเรา ตั้งทีมศึกษาหาช่องทางทำบิสซิเนสโมเดลใหม่ ๆ กับชาวบ้านในลักษณะของคู่ค้า ร่วมกับภาคีชุมชนทำ R&D กับเขา เปลี่ยนผ้าขาวม้าเป็นงานคราฟต์ที่แพงขึ้น สวยขึ้น ใช้งานได้หลากหลายขึ้น เพราะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ

ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นผู้รับที่อ่อนแอที่ต้องได้รับการโอบอุ้มอยู่ตลอดเวลา มนุษย์ทุกคนมีสัญชาตญาณของการอยากยืนอยู่บนขาของตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรี แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นจริงได้ เพราะเราภาคเอกชนต้องไม่นิ่งดูดาย ไม่เป็นเจ้าสัวนายทุนกินกำไรสบายอยู่ท่ามกลางความลำบากของเพื่อนร่วมชาติ

วันนี้เราต้องช่วยกัน เริ่มจากช่วยกันคิดและใส่ใจในกันและกันให้มากขึ้น เพื่อเราจะได้แข็งแรงไปด้วยกัน รอดไปด้วยกันครับ

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : คุยกับเศรษฐา : เป็นคนตัวใหญ่ต้องให้เยอะ

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ประชาชาติธุรกิจ

เปิดฉาก BIG MOTOR SALE 2025 ค่ายรถยกทัพหวังดันยอดกลางปี

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รับสร้างบ้าน จัดบิ๊กอีเวนต์ปลุกครึ่งปีหลัง อ้อนคลัง-ธอส.ขอสินเชื่อ 1 หมื่นล้านอุ้มบ้านสร้างเอง

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

Netflix ทุ่ม 200 ล้านดอลลาร์ หนุนไทยขึ้นแท่นฮับคอนเทนต์เอเชีย

TNN ช่อง16

สำรวจโลกสมมติอันสิ้นหวัง กับ 8 วรรณกรรมดาร์กแฟนตาซี ที่เต็มไปด้วยความมืดมนและหวาดกลัว

The MATTER

กระทรวงการต่างประเทศรับสมัครงาน 60 อัตรา มีเงื่อนไข สอบอะไรบ้าง และเงินเดือนเท่าไร

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

สถาบันบำราศนราดูร โรงพยาบาลที่มีเมรุ มีสัปเหร่อ มีบริการเผาศพ ?!?

ศิลปวัฒนธรรม

อดีตผู้บริหาร Google X เตือนแรง AI ไม่สร้างงานใหม่ มีแต่จะแย่งงาน

กรุงเทพธุรกิจ

โทรหาไม่ว่า แต่บอกก่อนได้ไหม? ส่องเหตุผลที่การรับโทรศัพท์อาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยของทุกคน

The MATTER

ข่าวและบทความยอดนิยม

คุยกับเศรษฐา : เป็นคนตัวใหญ่ต้องให้เยอะ

ประชาชาติธุรกิจ

เปิดฉาก BIG MOTOR SALE 2025 ค่ายรถยกทัพหวังดันยอดกลางปี

ประชาชาติธุรกิจ

รับสร้างบ้าน จัดบิ๊กอีเวนต์ปลุกครึ่งปีหลัง อ้อนคลัง-ธอส.ขอสินเชื่อ 1 หมื่นล้านอุ้มบ้านสร้างเอง

ประชาชาติธุรกิจ
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...