จับตาเกมภาษีทรัมป์ ไทยสะเทือน! ตลาดหุ้นไทย รอด หรือ ร่วง ?
การเจรจาภาษีสหรัฐฯ ถูกเลื่อนจาก 9 ก.ค. เป็น 1 ส.ค.2568 อาจดูเป็นเพียงการขยายเวลาเจรจาปกติ แต่สำหรับตลาดทุนไทย นี่อาจเป็นหมุดหมายสำคัญที่กำหนด"ทิศทางหุ้นไทยครึ่งปีหลัง" ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สงครามตะวันออกกลาง ดอกเบี้ยเฟดที่ยังไม่ลด และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
ถึงกระนั้น.. การเลื่อนเจรจาภาษีช่วย"ซื้อเวลา" หรือกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดความไม่แน่นอนในระยะยาว ?
"อัสสเดช คงสิริ" กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยอมรับว่ายังคงรอความชัดเจนในรายละเอียดการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องภาษีมีผลต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน
หากภาษีของไทยสูงกว่าคู่แข่งบางกลุ่มอุตสาหกรรมจะเหนื่อย แต่ถ้าต่ำกว่าย่อมจะดีต่อหลายอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทจดทะเบียนไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯคาดว่าตัวเลขไม่มากนักหากเทียบกับภาพรวม
ถามว่า.. ตลท. เตรียมมาตรการรองรับความผันผวนหรือไม่ ?
วันนี้จะให้มีมาตรการที่รองรับตลอดเวลาคงไม่ได้ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ดังนั้นคงต้องมีสติในการวิเคราะห์ข้อมูลให้มากขึ้น ที่สำคัญมาตรการต่างของตลาดหลักทรัพย์ฯมักจะมีกรอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ
ขณะที่การตั้งกองทุน New Economy เป็นการศึกษาเบื้องต้นว่าจะเป็นรูปแบบกองทุน เพื่อผลักดันธุรกิจใหม่ๆได้เข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้น พร้อมมอบทุนไปต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้ ซึ่งยังคงหาแนวทางว่าจะทำแยกจากตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVe Exchange , LiVEx) หรือทำควบคู่กับ LiVEx อยู่ระหว่างศึกษา
ส่วนโครงการ จั๊มพ์พลัส (JUMP+) มีโอกาสที่จะจัดตั้งกระดาน "JUMP+ INDEX" หรือไม่ ? ยอมรับว่าเป็นอีกไอเดียที่คิดไว้และถือว่าน่าสนใจ แต่ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนแต่อย่างใด
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ดัชนีเดือนมิถุนายน 2568 ปิดที่ 1,089.56 จุด ปรับลดลง 5.2% จากเดือนก่อนหน้า และลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ปรับลดลง 22.2%
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,663 ล้านบาท หรือลดลง 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 41,856 ล้านบาท ลดลง 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุที่ดัชนีปรับตัวลดลงจาก 3 ปัจจัย โดยปัจจัยแรก คือ"สงครามอิสราเอล-อิหร่าน" ทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เหรียญฯภายในเดือนเดียว หรือ มากกว่า 10% ภายในเดือนเดียว 70-80 เหรียญต่อบาร์เรล
เรื่องที่สอง คือ "การเจรจาภาษีทรัมป์" เพราะสิ้นสุด 9 ก.ค.68 แต่ขยายเป็น 1 ส.ค.68 เรื่องความเสี่ยงสะท้อนภาพไปยังตลาดหุ้นไทยบางส่วน
ส่วนข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ข้อมูลปี 2566 พบว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีการลงทุนรวมมูลค่าราว 1,000 ล้านบาท หรือราว 11,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.02% ของรายได้รวมของบริษัทจดทะเบียนถือว่าไม่มากนัก ในเรื่องนี้ยังคงต้องติดตามความชัดเจน แต่ที่ต้องตามหลักๆคือแรงงานกัมพูชา เวลาเกิดความขัดแย้งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น
ปัจจัยสุดท้าย คือ "เฟดไม่ลดดอกเบี้ย" แบงก์ชาติปรับลด GDP ไทย ปี 2025 ล่าสุดกรณีตกลงไม่ได้คาด 2.3% ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 1.3% ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการผลิตและการเร่งส่งออกสินค้า ส่งผลให้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อีกตัวช่วยคือการลงทุนภาครัฐ ในการเร่งเบิกจ่ายปีงบประมาณ 2569 ขณะที่หลังจากวันสุดท้ายเปิดขายกองทุนรวม Thai ESGX มี Fund Flow ของผู้ลงทุนเข้ามาอยู่ในกรอบกว่า 3 หมื่นล้านบาท ถือเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงหุ้นไทยในช่วงความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง
อีกทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในหลายมิติผ่านโครงการ "JUMP+" เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย
ข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่า แม้จะเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์หรือการประกาศสงคราม ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว มักเผชิญความผันผวนเพียงระยะสั้น ก่อนฟื้นตัวและกลับมาให้ผลตอบแทนในทิศทางบวกได้ภายในเวลาไม่นาน ตลาดหุ้นไทยแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในลักษณะเดียวกันตลอดเดือนที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์หลายสำนัก แนะนำว่า การรักษาวินัยการลงทุนและเดินหน้าตามกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง หรือ Stay Invest จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ผู้ลงทุนไม่พลาดโอกาสสำคัญ หากดัชนีตลาดสามารถพลิกกลับขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะถัดไป
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนมิถุนายน 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 442,877 สัญญา เพิ่มขึ้น 24.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ตลอดปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 438,459 สัญญา ลดลง 9.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures