"สรรพากร" เล็งกระตุ้นท่องเที่ยว ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 1.5 หมื่น
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเกี่ยวกับแนวทางการออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ โดยแม้จะมีการหารือเบื้องต้นไปแล้ว แต่ยังต้องรอความชัดเจนจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ว่าจะกำหนดกลุ่มจังหวัดเป้าหมายเป็นเมืองหลัก เมืองรอง หรือครอบคลุมทั้งประเทศ
“ต้องรอในเชิงนโยบายว่าทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเอาอย่างไร จะประกาศกับเมืองรอง หรือกับเมืองหลัก ซึ่งมองว่าหากเป็นเมืองรอง วงเงินในการลดหย่อนก็อาจจะต้องจูงใจ โดยเบื้องต้นอาจจะขอไว้ที่ 1.5 หมื่นบาทก่อน เว้นแต่ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบอกมาว่าอยากได้หนัก ๆ แรง ๆ เราก็พร้อมจะพิจารณาให้ โดยทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางโน้นที่จะเป็นผู้ฟันธงมา ส่วนรายละเอียดยังต้องรอ โดยมาตรการนี้น่าจะไม่รวมนิติบุคคล เพราะตรงนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการประชุมสัมมนามากกว่า”
ทั้งนี้ กรมสรรพากรยืนยันความพร้อมในการดำเนินมาตรการผ่านระบบ e-Tax เช่นเดียวกับมาตรการที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ หากได้รับรายละเอียดจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็สามารถเดินหน้ามาตรการได้ทันที เพื่อให้ทันช่วงการท่องเที่ยวปลายปี
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี โดยหนึ่งในทางเลือกคือการขยายมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งกำลังหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอย่างใกล้ชิด
“มองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งเรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยประเด็นคือ จะต้องมีการสร้างกลไกที่ช่วยเพิ่มในเรื่องการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในมิติของการท่องเที่ยวในช่วงก่อน High Season ส่วนช่วง High Season นั้น ยังไงการท่องเที่ยวไทยก็ได้รับความสนใจเต็มศักยภาพอยู่แล้ว เราไม่ได้ห่วงในจุดนั้น แต่ช่วงก่อน High Season เป็นช่วงที่เราจะต้องเร่งพิจารณาว่ามีความจำเป็นจะต้องกระตุ้น ทำอะไรหรือไม่ อย่างไร"
ทั้งสองหน่วยงานอยู่ระหว่างการหาข้อสรุปที่เหมาะสม โดยคาดว่าหากมีมาตรการเพิ่มเติม จะสามารถออกได้ภายในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2568 ซึ่งแนวทางดำเนินการเบื้องต้นจะไม่ใช้เงินงบประมาณ แต่เน้นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแทน
ก่อนหน้านี้ กรมสรรพากรเคยดำเนินมาตรการ e-Tax Invoice & e-Receipt สำหรับการท่องเที่ยวเมืองรอง ในช่วงวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 พฤศจิกายน 2567 โดยใช้ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบตามมาตรา 86/4 ของประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์