‘ศบ.ทก.’ เผยสถานการณ์ชายแดน 2 ประเทศสงบแล้วตรึงกำลังในที่ตั้ง
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 1 ส.ค. ที่ห้องประชุมนภาอาสน์ กองบิน 21 อ.เมืองอุบลราชธานี ศูนย์บริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงข่าวสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาประจำวัน โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการพาคณะทูตและผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ในวันเดียวกันนี้ ว่า การลงพื้นที่ในวันเดียวกันนี้ เรานำคณะทูต 11 ประเทศ ผู้ช่วยทูตทหาร 38 คนจาก 23 ประเทศ รวมถึงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ จำนวนรวมกว่า 150 คน เข้าร่วมสังเกตการณ์ในพื้นที่ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล และศูนย์พักพิงชั่วคราว ซึ่งได้รับผลกระทบจากการโจมตี โดยไม่เลือกเป้าหมาย ไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรมของกัมพูชา โดยวัตถุประสงค์ของการลงพื้นที่ครั้งนี้ เราตั้งใจให้ข้อเท็จจริงจากการลงพื้นที่ เป็นที่รับทราบในวงกว้าง สื่อจะเป็นช่องทางในการสื่อสารกับประชาคมโลก ต้องการให้เห็นข้อเท็จจริงและประเมินผลจากการปะทะชายแดน เพื่อให้คนเหล่านี้ได้เห็นกับตาสะท้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อสื่อสารต่อชาวโลก ให้เห็นความเสียหายของบ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล โรงเรียน ที่กัมพูชาเริ่มพุ่งเป้าโจมตีไปยังเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บ ต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงกว่า 150,000 คน
นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า เราได้แสดงให้เห็นถึงความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา การไปที่ร้านสะดวกซื้อที่ถูกโจมตีด้วยจรวด มีผู้เสียชีวิต 8 ราย ในจำนวนดังกล่าวมีแม่ละลูก 3 รายที่ไม่ได้กลับออกมาอีก มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่ถูกโจมตีเสียหาย และไปที่ศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งใน อ.กันทรลักษ์ ที่ยังมีผู้อพยพอยู่อีก 5,000 คน ทั้งนี้ การลงพื้นที่ในวันเดียวกันนี้เราดำเนินการอย่างโปร่งใสให้เห็นข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของคณะ และเน้นความโปร่งใส ขอย้ำว่าประเทศไทยยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด สิ่งที่ประชาคมโลกได้เห็นการลงพื้นที่ในวันนี้ ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสุดท้ายแล้วความจริงจะชนะทุกอย่าง
เมื่อถามว่าทางคณะทูตได้แสดงท่าทีอะไรออกมาบ้างนอกจากการขอบคุณ นายนิกรเดช กล่าวว่า เขาไม่ได้แค่ขอบคุณ แต่เขาได้เห็นกับตาถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับประชาชน การมาครั้งนี้สำคัญมาก ไม่เพียงแต่เห็นสถานที่ที่พังทลาย แต่เขาได้คุยกับญาติผู้เสียชีวิต ได้คุยกับประชาชนที่ต้องอพยพ ถามว่าเขารู้สึกอย่างไร ตนบอกได้โดยไม่ขอระบุประเทศว่าเขาเห็นใจเรา ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเหล่านี้ต้องมาเป็นเหยื่อ เขาไม่เห็นประเด็นว่าทำไมไทยต้องเป็นผู้เริ่มเป็นไปไม่ได้ เขาเห็นอกเห็นใจแสดงท่าทีสนับสนุนสิ่งที่ไทยทำ ชื่นชมในการดูแลประชาชน ทั้งครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบและผู้อพยพ
เมื่อถามอีกว่าผลการลงพื้นที่ถือเป็นทิศทางที่ดีใช่หรือไม่ นายนิกรเดช กล่าวว่า เป็นทางที่ดีทั้งหมด ตนได้คุยกับท่านเหล่านั้น ท่านเห็นอกเห็นใจมากว่าเราเป็นเหยื่อ ชัดเจนมากว่าล้ำมาในประเทศไทยเกือบ 30 กิโลเมตร ในการที่เขาเหมือนไม่เล็ง หรือตั้งใจเล็งมาที่ประชาชนเป้าหมายที่ไม่ใช่ทหาร ยืนยันไทยทำบนหลักการ แต่กัมพูชาไม่อยู่บนหลักการ วันนี้คณะทูตทั้งหลายได้เห็นความจริง ได้เห็นพื้นที่จริง ได้เจอคนที่ต้องย้ายออกจากบ้านยิ่งตอกย้ำสิ่งที่เราพูดมาเป็นข้อเท็จจริง ตนคิดว่าจะได้รับการตอบรับสิ่งที่เราเรียกร้องและขอการสนับสนุนจากเขา
ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) กล่าวว่า ในส่วนของความมั่นคงถือว่าเราได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมในสถานที่จริงที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในสถานการณ์โดยทั่วไปที่ผ่านมาในห้วงเวลาตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค. จนถึง 1 ส.ค.2568 สถานการณ์โดยทั่วไปตามแนวชายแดน ภาพรวมถือว่าอยู่ในความสงบ ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังอยู่ในที่ตั้งของตนเอง ในเรื่องของสถานภาพผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตที่เป็นพลเรือน ณ เวลา 09.00 น. วันนี้ ยังเป็นยอดคงเดิม โดยมียอดเสียชีวิตที่ 14 ราย บาดเจ็บสาหัส 12 คน บาดเจ็บปานกลาง 13 คน บาดเจ็บเล็กน้อย 13 คน โดยยอดรวม 52 คน ยอดผู้อพยพในศูนย์พักพิงทั้ง 5 จังหวัด ปัจจุบันมีจำนวนศูนย์ที่เปิดให้บริการทั้งหมด 676 แห่ง ได้ปิดทำการลงไป 1 แห่ง สามารถรองรับผู้อพยพได้ 395,858 คน โดยปัจจุบันมีผู้อพยพทั้งสิ้น 167,121 คน ลดลง 21,277 คน
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อว่า โดยเจ้าหน้าที่แต่ละจังหวัดพิจารณาเรียบร้อยแล้วว่าสามารถกลับไปบ้านของตนเองได้ โดยให้ประชาชนกลับไปที่บ้านของตนเองเรียบร้อยแล้วจำนวน 21,277 คน ถือว่าสถานการณ์โดยภาพรวมอยู่ในสถานการณ์ปลอดภัย ส่วนเรื่องของการดูแลผู้ป่วยคนไทย มีการจัดบุคลากรทางการแพทย์ในศูนย์พักพิงต่างๆ มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ช่วยเหลือดูแลอย่างต่อเนื่องและได้รับการช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐเอกชนและมูลนิธิต่างๆ ในพื้นที่ มีการจัดกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เช่น การสานรูปสัตว์ เพื่อคลายเครียดและผ่อนคลาย รวมถึงกิจกรรมวาดรูป โดยน้องๆ ได้มอบรูปวาดให้ คณะทูต อุปทูต ทูตทหาร และผู้ที่มาเยี่ยมศูนย์พักพิง จังหวัดศรีสะเกษด้วย ถือเป็นกิจกรรมที่ดีผ่อนคลายความเครียดให้กับผู้ที่อยู่ในศูนย์พักพิง
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของความมั่นคงที่อยากจะแจ้งให้ประชาชนรับทราบ เรื่องของการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ระหว่างไทยและกัมพูชาที่จะเกิดขึ้น ระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค.2568 ได้รับการยืนยันแล้วว่าสถานที่จัดการประชุมจะจัดที่ประเทศมาเลเซีย โดยทั้งสองฝ่ายไทยและกัมพูชา ตกลงใจกันแล้วว่าจะไปจัดในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งในวันที่ 4-6 ส.ค.นี้ จะเป็นการจัดประชุมฝ่ายเลขานุการของประเทศทั้งสองประเทศ เพื่อหารือในประเด็นต่างๆ ที่จะหยิบยกมาพูดคุยในเวทีจีบีซี จากนั้นวันที่ 7 ส.ค.จะเป็นการประชุมหลัก โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ โดยฝ่ายไทยจะเป็นพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะรักษาการรมว.กลาโหม จะเป็นประธานร่วมในการเจรจาครั้งนั้
เมื่อถามว่า การลงพื้นที่ในวันนี้ทูตต่างชาติแสดงท่าทีอย่างไรบ้างว่าจะสนับสนุนเราอย่างชัดเจน พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ผู้แทนฝ่ายทหารต่างประเทศได้มาถามตน ว่าไม่เข้าใจว่าเป้าหมายของการโจมตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าที่เป็นพลเรือน ไม่ว่าจะสถานีบริการน้ำมัน เขาบอกว่าทำไมถึงต้องมาโจมตีตรงนี้ เพราะดูตามแผนที่แล้วไม่มีเป้าหมายทางการทหารในแผนที่เลย และในบริเวณใกล้เคียงตรงนั้นเลย ฉะนั้นเขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงมีการโจมตีตรงนั้น เป็นเพราะว่าเขาไม่มีหลักการในการเล็งเป้าหมายหรือไม่ หรือเป็นเพราะว่าเขาตั้งใจที่จะโจมตีเข้ามาบริเวณของพลเรือน อันนี้ตนคงให้คำตอบไม่ได้ แต่มันบ่งชัดจากการที่ได้พาเขาไปเยี่ยมชมพื้นที่ ให้เขาเห็นเลยว่าบริเวณใกล้เคียงไม่มีพื้นที่หรือสถานที่ใดที่เป็นเป้าหมายทางการทหารเลย.